16 พฤศจิกายน 2556

เที่ยวญี่ปุ่น ตอนที่ 3 ซูชิทำให้วันนี้ไม่หดหู่

20 ตุลาคม 2013 วันอาทิตย์ วันที่สามในโตเกียว เป็นวันที่เปลี่ยนแผนจากการเที่ยวนิกโก (Nikko) มาเป็นเที่ยวในโตเกียว แต่ดูเหมือนอะไรก็ไม่เป็นใจ พยากรณ์อากาศบอกว่าวันนี้จะมีฝนตกทั้งวัน และจะหยุดเอาบ่ายสาม ก็จริง แต่ไม่ทั้งหมด บ่ายสามก็ยังพรำอยู่ วางแผนไว้ว่าจะกลับไปศาลาว่าการกรุงโตเกียว (Tokyo Metropolitan Government Building: TMG) อีกครั้งหลังจากที่แห้วไปเมื่อวันเสาร์ ต่อด้วยฮาราจูกุ พระราชวังอิมพีเรียล สุดท้ายก็แห้วอยู่ดี

เริ่มต้นวันนี้ด้วยการซื้อตั๋วล่วงหน้าไปคาวางูจิโกะ (Kawaguchiko) ที่ Shinjuku Express Bus Terminal ออกก่อนสองโมงเช้า ราคา 8,000 เยน คาดว่าจะใช้บัตรเครดิตได้ แต่รับแต่เงินสดเท่านั้น ทำให้เงินสดที่แลกมาแค่ 31,000 เยนเท่านั้นแทบจะไม่เหลือ แต่คิดว่าเอาน่ะ เดี๋ยวหาตู้ ATM ที่รับ VISA Electron ถอนเอาก็ได้ จากนั้นก็ไปศาลาว่าการกรุงโตเกียว

อีกครั้งกับศาลาว่าการกรุงโตเกียว

ในวันฝนพรำคาดอยู่แล้วว่าคงจะเห็นอะไรไม่มาก ไม่ต้องคาดหวังว่าจะเห็นถึงภูเขาไฟฟูจิ แต่ว่าทัศนวิสัยมันแย่กว่าที่คาดหวังไว้อีก ฝนตกแรงขึ้นเรื่อยๆ ถึงกับเห็นมอเตอร์ไซค์ชนแทกซี่เพราะเบรกไม่อยู่ ระหว่างเดินทางไปที่ TMG เมื่อถึง TMG ก็เลือกขึ้นตึกเหนือเพราะคนรอคิวน้อยกว่า
หลังจากขึ้นไปถึงก็ได้แต่หดหู่เพราะทัศนวิสัยไม่ดีเลยจริงๆ แถมมีลมแรงและฝนหนาเม็ดขึ้นอีก

ของที่ระลึกที่ขายก็ยังอุตส่าห์มี Gunpla อีก
ตึกใต้ก็มีชั้นชมทิวทัศน์ที่ความสูงเดียวกัน
เมื่อไม่สามารถมองเห็นอะไรก็เลยหาอะไรกิน (อีกแล้ว) บนตึกเหนือมีร้านอาหารอยู่ซึ่งมีมุมชมวิวแยกต่างหาก เลยไปสั่งคาปูชิโนกับวอฟเฟิล 540 เยนเห็นจะได้ หน้าตาน่ากินมีชาติตระกูลพอตัว นั่งทอดหุ่ยจนเกือบเที่ยงก็ลงลิฟต์กลับ เจอคนไทยอีกแล้วครอบครัว 5 คนเห็นจะได้

เงินจะหมด ทำไงดี

ด้วยความที่ปกติเวลาไปเที่ยวจะพยายามใช้บัตรเครดิตให้มาก เงินสดให้น้อยเพราะไม่ชอบพกเงินเยอะเลยแลกมาแค่ 31,000 เยน ซึ่งสำหรับญี่ปุ่นเป็นการตัดสินใจที่ผิด ใน Pantip.com มีคนประมาณการไว้ว่าค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ยจะตกประมาณ 10,000 เยน ต่อคนต่อวัน ซึ่งผมย่ามใจว่าโรงแรมจ่ายไปหมดแล้วก็น่าจะทำให้อัตรานี้ลดลง ซึ่งผิด เพราะพบว่าค่าใช้จ่ายในการเดินทางโดยซื้อ Pass ต่างๆ ที่ผมวางแผนไว้ หรือรถบัสไม่รับบัตรเครดิต เงินสดเท่านั้น พอถึงวันที่สามผมเหลือเงินแค่หมื่นเยนเศษๆ ซึ่งเป็นเรื่อง

พยายามหาตู้ ATM โดยลองสุ่มดูว่ารับ VISA Electron หรือเปล่าก็ไม่พบ ถึงคราวที่ต้องใช้ทวิตเตอร์ช่วย ส่งข้อความออกไปมีคนตอบกลับมาสองคนคือ @vow_vow บอกให้หาตู้ที่มีเครื่องหมาย PLUS ซึ่งรับ VISA Electron แต่ก็ไม่เห็น ข้อมูลที่ได้จาก @cerebrophobia มีค่ามากคือให้มองหาตู้ ATM ที่ร้าน 7-11 ตอนแรกก็งงว่าทำไมต้อง 7-11 จากการค้นอินเทอร์เน็ตในตอนนั้นจึงเข้าใจ พบว่า 7 Bank ซึ่งมีเจ้าของเดียวกันกับ 7-11 เป็นธนาคารเดียวในญี่ปุ่นที่รับ VISA Electron ธนาคารอื่นรับของต่างชาติแค่ Union Pay และตู้ใน 7-11 จะเป็นของ 7 Bank ทั้งหมด

หลังจากนั้นทั้งทวิตและขึ้น Status บน Facebook หาร้าน 7-11 จนเพื่อนที่ทำงาน Lawson บ่นน้อยใจว่าทำไมหาแต่ 7-11 :P

ปัญหาตอนนั้นของผมคือ แถวชินจูกุหา 7-11 ยากมาก พบแต่ Family Mart และ Lawson เดินวนหาหลายรอบก็ไม่มี อาจจะเป็นเพราะฝนตกเลยหาแต่ร้านที่อยู่ตามแนวทางเดินรถไฟไต้ดิน สุดท้ายจนปัญญา เลยไปถามเจ้าหน้าที่ของ JR (ซึ่งสาวและสวยอีกต่างหาก) ที่ Information Center สถานี JR ชินจูกุ ก็บอกทางไปจนเจอ 7-11 ซึ่งอยู่ในซอกแบบว่าถ้าไม่ตั้งใจไปหาก็ไม่เห็น และก็เจอตู้ ATM ของ 7 Bank เลยกดมาซะ 50,000 เยน ซึ่งคราวนี้คิดถูกเพราะที่คาวางูจิโกะใช้เงินสดล้วนๆ แถมต้องไปกดเพิ่มที่ชินนากาตะอีกต่างหาก

กลับมาตรวจสอบอัตราแลกเปลี่ยนพบว่า เงินที่แลกไปจาก Super Rich วันที่ 17 ตก 0.321 บาทต่อเยน (BOT: 0.3189) เงินที่กดวันที่ 20 อัตรา 0.3281 บาทต่อเยน (BOT: 0.3204) เงินที่กดวันที่ 24 ที่ชินนากาตะ อัตรา 0.333 บาทต่อเยน (BOT: 0.3231) โดยในวงเล็บเป็นอัตราขายถัวเฉลี่ยของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งสรุปว่ากด VISA Electron แพงกว่า Super Rich เล็กน้อย โดยบัตรเดบิตที่ใช้เป็นของธนาคารกสิกรไทยนั้นไม่มีค่าธรรมเนียมในการเบิกเงินสดต่างประเทศ

ดังนั้น ไปญี่ปุ่น (และแถมด้วยเกาหลี) พก VISA Electron (บัตรเดบิตของแต่ละธนาคาร) ไปเถิดจะข่วยชีวิตท่านได้

ซูชิที่ทำให้วันนี้หายหดหู่

หลังจากที่เดินเล่นไปมาอย่างไร้แก่นสารแถวชินจูกุจนบ่าย 4 โมงกว่าๆ ฝนก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตก ก็เลยกลับไปเช็คอินที่โรงแรม อาบน้ำและรอฝนหยุด กะว่าถ้าฝนหยุดจะไปฮาราจูกุดูคนแต่งคอสเพลย์และหาอะไรกิน ฝนหยุดตกก็ออกจากโรงแรม ไปได้ไม่กี่ก้าวก็ตกหนักอีก ไปหลบฝนอยู่หน้าร้านซูชิ ไหนๆก็ไปไหนไม่ได้ ก็กินซูชิซะเลย (อิอิ) นับตั้งแต่วินาทีนั้นก็เริ่มคิดว่าจะมัวประหยัดไปใย หาอะไรที่ปกติเราไม่กินที่เมืองไทยเพื่อความรื่นรมย์ของชีวิตดีกว่า

ว่าแล้วก็สั่งซูชิมาเซ็ตหนึ่งแบบธรรมดาประมาณ 1600 เยน เบียร์อีก 400 เยน นั่งกินไปเรื่อยๆ
ชื่อร้าน Sushi Mamire
ซูชิเซ็ตที่สั่ง
และเบียร์ Suntory
ขึ้น Status ว่าดื่มเบียร์กับซูชิไปเท่านั้นแหละ มาเม้นท์กันว่าทำไมไม่กินกับสาเก อืมนั่นสินะ เพราะผมมีความรู้สึกว่าสาเกเหมือนเหล้าขาว ตลอด แหะๆ ส่วนข้างล่างนั้นเป็นแต่ละชิ้นในเซ็ตเอามาแยกให้ดู








กินเสร็จไม่หนำใจ เพราะไม่มีโอโทโร เลยสั่งมากินอีกสองชิ้น รวมค่าเสียหายทั้งค่าอาหาร ค่าบริการ และภาษีไป 2,851 เยน ชิลๆ
เด็ดสุดต้องชิ้นนี้ โอโทโร
หน้าตาเชฟ ระหว่างนั่งกินก็มีการเปลี่ยนกะด้วย
สำหรับผม มื้อนี้อร่อยเป็นรองแค่เนื้อโกเบเท่านั้น ร้านนี้อยู่ระหว่างโรงแรมที่ผมพักกับร้าน Mister Donut หัวมุมถนน ดูที่ Google Street View แล้วกันครับ เข้าใจว่าเปิด 24 ชั่วโมง

จบตอนที่ 3
ตอนที่เกี่ยวข้อง
เที่ยวญี่ปุ่น ตอนที่ 0 วางแผน
เที่ยวญี่ปุ่น ตอนที่ 1.1 จากสุวรรณภูมิถึงนาริตะ
เที่ยวญี่ปุ่น ตอนที่ 1.2 จากนาริตะถึงชินจูกุ
เที่ยวญี่ปุ่น ตอนที่ 2.1 Tokyo Metro Pass และ อาซะกุสะ
เที่ยวญี่ปุ่น ตอนที่ 2.2 ก่อนไปดูกันดั้ม เที่ยวอูเอโนะ (Ueno) และกินซ่า (Ginza)
เที่ยวญี่ปุ่น ตอนที่ 2.3 Gundam ที่โอไดบะ (Odaiba)
เที่ยวญี่ปุ่น ตอนที่ 4.1 จากชินจูกุถึงฟูจิซัง

1 ความคิดเห็น:

  1. เรื่องปัญหาเงินหมดนี่พาเครียดยามอยู่ต่างแดนจริงๆ
    ตอนนกไปคำนวณไว้เผื่อจ่ายค่านู้นนี่
    ไปถึงวันแรกๆ ก็ไม่กล้าใช้เงินกันเลย
    กลัวเงินหมด ไม่พอจ่ายค่าของที่มีคนฝากเงินมาซื้อ
    จนวันสุดท้าย กลายเป็นเงินเหลือเพียบเลย
    เลยพยายามใช้ซื้อนู้นนี่ กลายเป็นเหลือเงินเยนกลับบ้านมาเต็มเลย555

    ตอบลบ