02 พฤศจิกายน 2556

เที่ยวญี่ปุ่น ตอนที่ 1.1 จากสุวรรณภูมิถึงนาริตะ

The Journey Begins

แค่เพิ่งเริ่มต้นก็มีปัญหารออยู่เสียแล้ว เมื่อเช็คอินการบินไทยที่สนามบินสุวรรณภูมิและขอเช็คอินไปจนถึงนาริตะ ไม่สามารถทำได้โดยเจ้าหน้าที่บอกว่าการที่ไปต่อเครื่องที่สนามบินอื่นในจีนนอกจากปักกิ่งไม่สามารถทำได้ต้องผ่านตรวจคนเข้าเมืองไปก่อน ถ้านำกระเป๋าลงใต้ท้องเครื่องก็ต้องออกไปรับกระเป๋าแล้วเช็คอินโหลดกลับเข้ามาใหม่

ผมไม่ได้ขอวีซ่าเข้าจีนเพราะไม่ได้ตั้งใจไปเที่ยวเมืองจีน แต่ไปต่อเครื่องที่เซี่ยงไฮ้ นั่นหมายความว่ามีปัญหารออยู่ข้างหน้าคือผมยังเช็คอินจากผู่ตง (Pudong) ไปนาริตะไม่ได้ และไม่รู้ว่าจะผ่านตม.จีนยังไง (อย่างไรก็ตามในวันเดียวกัน @SUTYOD ที่มาในคืนเดียวกันได้เล่าให้ฟังว่าเครื่องของ China Southern Airline ซึ่งต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่ผู่ตงเช่นกัน ไม่ต้องผ่านตรวจคนเข้าเมือง สามารถเปลี่ยนเครื่องได้เลย สันนิษฐานว่าเนื่องจากเป็นสายการบินของจีนเอง และสายการบินเดียวกัน) 

ขอบคุณพระเจ้าอย่างหนึ่งที่ตัดสินใจพัก Capsule Hotel เพื่อเป็นประสพการณ์ ทำให้ต้องจัดของลงกระเป๋าใบเล็กเพื่อให้เก็บในล็อกเกอร์ที่โรงแรมได้ (ไปซักผ้าด้วยเครื่องหยอดเหรียญเอาดาบหน้า) ทำให้ผมไม่มีกระเป๋าต้องลงใต้เครื่องให้ยุ่งยากโดยปริยาย และคิดหาทางแก้ปัญหา โดยได้คำตอบให้ตัวเองดังนี้
  1. เหตุการณ์อย่างนี้น่าจะเกิดขึ้นกับนักเดินทางที่หาตั๋วราคาถูกและต่อเครื่องที่สนามบินอื่นในจีนมาก่อน ไม่น่าจะกังวลมาก
  2. ในสถานการณ์ที่แย่ที่สุดก็คือถูกส่งตัวออกนอกประเทศเพราะไม่มีวีซ่าก็ยังเข้าทางอยู่ดีคือออกมาขึ้นเครื่องต่อไปนาริตะ (แม้ว่าอาจจะถูกขึ้นบัญชีห้ามเข้าประเทศ -ฮา-)
ก็เลยเลิกคิดถึงเรื่องนี้แต่ก็อ่านคำแนะนำของ ANA ในการใช้สนามบินผู่ตงตามลิ้งค์นี้

เที่ยวแบบซำเหมาแต่เข้าเล้าจน์การบินไทย

ที่จริงก็ไม่เชิงซำเหมาหรอกแต่แบบประหยัด (ซึ่งสุดท้ายก็จ่ายไปเยอะอยู่ดี) แต่ว่าตั๋วที่ได้มาเป็นของการบินไทยซึ่งนานๆ จะได้ใช้บริการ ก็เลยใช้สิทธิ์บัตรเครดิตเสียหน่อย อยากรู้ว่าใช้ของใครได้ดู 19 บัตรเครดิตที่ใช้ห้องรับรองในสนามบินได้ฟรี ส่วนในครั้งนี้ใช้บริการของธนาคารสีเขียว

บางส่วนของมื้อดึกที่เล้าจน์การบินไทย

ขึ้นเครื่อง

TG 662 กรุงเทพ-เซี่ยงไฮ้ เป็นเครื่อง Airbus A330 ซึ่งผมได้ที่ค่อนข้างสบายคือแถวกลางติดทางเดินและที่นั่งถัดไปสองที่ไม่มีคน เที่ยวนี้คนค่อนข้างน้อยเพราะไปถึงผู่ตงเช้ามากคือก่อน 6:00 เวลาท้องถิ่น ใช้เวลาบิน 4 ชั่วโมงกว่าๆ จากเดิมคิดว่าจะหลับบนเครื่องได้ก็ไม่หลับทำให้เหนื่อยมาก ที่นั่งมีช่องเสียบ USB เพื่อเล่นเพลงหรือหนังได้ แค่ผมเอามาชาร์จแบต Galaxy Note II
ที่นั่งบน TG 662

ถึงผู่ตง

ก็ต้องลากกระเป๋าออกไปตามที่ ANA ให้คำแนะนำไว้ ทุกคนไปออกตรวจคนเข้าเมือง ระหว่างรอแถวผมคิดว่าเจ้าหน้าที่น่าจะต้องถามเรื่องวีซ่าเลยเตรียม E-Ticket ที่พิมพ์เอาไว้ออกจากเป้ และแน่นอนเมื่อเจ้าหน้าที่ไม่พบวีซ่าของผมก็ถาม เมื่อบอกว่าจะต่อเครื่องก็ขอดู E-Ticket ตามที่คิดไว้ก็ยื่นให้ เจ้าหน้าที่ถามหา Supervisor เพื่อขอตราประทับวีซ่าชั่วคราวเขียนว่า Temporary Entry ให้ตั้ง 1 วัน

ออกมาก็หาทางขึ้นไปยัง Departure Terminal เพื่อหาทางเช็คอินกับ ANA แต่... Counter เปิด 7:45 อีกตั้งชั่วโมงครึ่ง ก็ได้แต่เตร็ดเตร่แถวนั้น หาร้านกาแฟที่รับบัตรเครดิตแถวนั้นไม่ได้ เงินหยวนก็ไม่ได้เตรียมมา ก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องใช้นี่นา

ยังดีที่หน้าห้องน้ำที่สนามบินผู่ตงมีน้ำดื่มให้ดื่มฟรี หลังจากทำธุรส่วนตัวเสร็จก็ออกมานั่งรอ แถวที่นั่งรอมีปลั๊กไฟแบบ Universal ให้ เลยชาร์จ Note II ต่อให้เต็ม (เป็นความนอยด์ของผมเองแหละ ที่จริงก็หิ้ว Mobile Charger มาด้วย)
ถ่ายที่สนามบินผู่ตง (Pudong) เซี่ยงไฮ้

เมี่อถึงเวลาเช็คอินก็ลากกระเป๋าเข้าไปรอไม่นานนักเป็นคิวที่ 3 เจอปัญหานิดหน่อยเนื่องจากไม่ค่อยมีคนไทยใช้เส้นทาง เซี่ยงไฮ้-โตเกียว และพาสปอร์ตที่ไม่มีวีซ่าเข้าญี่ปุ่น กว่าจะเช็คอินได้เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกัน เพราะเจ้าหน้าที่ไม่กล้าออก Boarding Pass ให้ ต้องอธิบายว่าคนไทยสามารถเข้าญี่ปุ่นได้เป็นเวลา 15 วันโดยไม่ต้องขอวีซ่า กว่าจะออก Boarding Pass ให้ต้องตาม Supervisor มาและหาจนเจอว่าไม่ต้องใช้วีซ่าจริงๆ

เอิ่ม ครั้งหน้าจะไม่ใช้เส้นทางแปลกๆแล้ว

มื้อเช้ากับ Burger King

หลังจากผ่านตรวจคนเข้าเมืองเข้ามาก็หาอะไรกิน แต่ก็อย่างว่าอาหารในสนามบินแพงอยู่แล้ว นอกจากสนามบินอินชอน ไม่เตยเจอสนามบินไหนที่ขายอาหารถูกเลย แต่ทนหิวมาสองชั่วโมงก็หาอาหารเช้าและกาแฟกินที่ Burger King แต่ แงๆๆๆ มันไม่ขายวอปเปอร์ ขายแต่ชุดอาหารเช้า แลยต้องสั่งครัวซองมากินกับกาแฟ หมดไป 24.50 หยวน (128.20 บาท)

ที่ร้านสามารถใช้ WiFi Internet ได้ แต่ก็อย่างที่ทราบกับ Facebook กับ Twitter ใช้ไม่ได้ จึงใช้เทคนิคที่หลายคนใช้กันก็คือผ่าน Instagram ก็ได้ผลดี

เพื่อนร่วมทาง

จากผู่ตงไปนาริตะบน Boeing 777-200 ได้นั่งที่นั่งตรง Emergency Exit นั่นหมายความว่าเหยีดขาได้ แต่ก็โดนกำชับเรื่องขั้นตอนเมื่อเกิดเหตุการณ์สองสามครั้งตั้งแต่ตอนเช็คอิน จนนั่งบนเครื่องหลังสาธิตการใช้อุปกรณ์นิรภัยต่างๆ

ทุกครั้งที่เดินทางผมมักจะชอบสนทนากับผู้ร่วมเดินทางเสมอ ถ้าเขาไม่หลับหรือดูหนัง ครั้งนี้ก็เช่นกัน ได้พบกับสามีภรรยาชาวญี่ปุ่นซึ่งเกษียณแล้ว มาเที่ยวเซี่ยงไฮ้กันสองคน ทั้งสองก็แปลกใจที่ผมเดินทางคนเดียวแล้วก็ถามว่าจะไปที่ไหนอย่างไร สามีชื่อ Suetake ภาษาอังกฤษค่อนข้างดีเคยเป็นวิศวกรไฟฟ้าอยู่มิตซูบิชิ ทำเกี่ยวกับมอเตอร์ อาศัยอยู่ชานกรุงโตเกียว

ก่อนที่เครื่องจะลงที่นาริตะท่านได้ให้เบอร์โทรศัพท์และ email ไว้เผื่อฉุกเฉิน ซึ่งก็ไม่ได้ใช้หรอกครับ แต่ก็ได้ email ไปขอบคุณก่อนออกจากโอซากา คุยกันจนลงเครื่องและแยกกันที่ตม.

ผ่านตม.

ใช้เวลาที่ตม.ไม่นานนักประมาณ 15 นาทีเพราะมีทัวร์จีนลงมาด้วยก็จะขลุกขลักเพราะลูกทัวร์จีนหลายคนลืมกรอกเอกสารบางอย่างจึงต้องออกมานอกแถว โดยจะมีเจ้าหน้าที่สองคนคอยเดินตรวจดูว่าเอกสารกรอกครบถ้วนหรือไม่ ส่วนผมผ่านออกมาง่ายๆ

จบตอนที่ 1.1

ตอนที่เกี่ยวข้อง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น