11 กันยายน 2558

เรียนรู้การสร้างทีมจากเกมและนิยาย

สมัยที่เรียนม.ปลาย มีเพื่อนคนหนึ่งแนะนำให้รู้จักเกมเกมหนึ่งที่ชื่อว่า Ultima III ซึ่งเป็นเกมแบบ RPG ตั้งแต่สมัย Apple ][ จนมาถึง Ultima V บน PC เกมนี้เราจะเลือกว่าเราเป็นตัวละคนประเภทใดจาก Fighter, Paladin, Cleric, Wizard, Ranger, Thief, Barbarian, Lark, Illusionist, Druid และ Alchemist จากนั้นก็ไปรวบรวมทีมเพื่อไปทำภาระกิจซึ้งในแต่ละภาคจะไม่เหมือนกัน ภาค 3 จะต้องรวมทีม 4 คนจากตัวละครต่างๆ ในเรื่องซึ่งเป็นคนแต่ละประภทตามที่กล่าวไป เพื่อรับคำสั่งจาก Lord British ไปกำจัด Exodus แต่ละประเภทแต่ละคนก็จะมีความสามารถที่แตกต่างกันไปมากน้อยเช่นความแข็งแกร่ง ความสามารถในการรักษา ความสามารถในการเสกคาถา เป็นต้น

เพื่อนคนเดียวกันนี่แหละที่แนะนำนิยาย the Lord of the Rings ให้อ่าน ซึ่งก็เช่นกันมีการรวมทีมจากเผ่าพันธ์ต่างๆ เพื่อนำเอกธำรงค์ (The One Ring) ไปทำลายที่ Mordor แม้ว่านิยายจะซับซ้อนกว่าเกมตรงที่ไม่ได้ร่วมทีมไปตั้งแต่ต้นจนจบเหมือนกับเกม แต่ก็แสดงจุดร่วมอย่างหนึ่งให้เห็นก็คือการเลือกคนในทีม

ทั้งเกมและนิยายสอนผมเรื่องการเลือกตนมาร่วมทีมว่ามีความสำคัญอย่างไร เราต้องเลือกคนที่มีความแตกต่างกันเพื่อที่ทำพันธกิจ (Mission) หนึ่งๆ ให้สำเร็จ บางครั้งเราอาจจะเจอคนที่เก่งมากหลายคนแต่มีความสามารถคล้ายกัน ก็ต้องจำเป็นตัดใจไม่เลือก แต่รอโอกาสหวังว่าจะได้ร่วมทำงานในอนาคตเมื่อทีมขยาย และจำเป็นที่ต้องหาคนที่มีความสามารถลดหลั่นลงมาแต่ตอบโจทย์พันธกิจในเวลานั้นได้ครอบคลุมมากกว่า ตอนที่ทีมมีคนน้อยต้องอาศัยคนมีความสามารถหลากหลายมากกว่าที่จะเป็นคนเก่งเฉพาะด้าน เมื่อทีมใหญ่ขึ้นคนที่เก่งเฉพาะด้านก็จะเริ่มมีความสำคัญตามมา

เมื่อเราเป็นหัวหน้าทีมที่เริ่มต้นตัวคนเดียว สิ่งที่ต้องประเมินคือในพันธกิจที่ได้รับหรือวางแผนไว้ เราทำอะไรได้ เราขาดทักษะอะไรที่จะต้องเติมจากทีมงาน อะไรจำเป็นก่อนหลัง คนแบบไหนต้องได้ก่อน คนแบบไหนตามมาทีหลังได้ แต่ว่าชีวิตจริงก็ไม่ได้หาคนที่ต้องการได้ง่ายเสมอไป แต่อย่านำคนที่ไม่สามารถเติมสิ่งที่ขาดได้เข้ามาร่วมทีม จะเสียเวลาและกำลังเปล่าๆ ยอมรอดีกว่า แต่ในอีกมุมหนึ่งก็ต้องพยายามเสาะหา เปิดตัวเองให้คนที่มีความสามารถสนใจที่จะมาร่วมงานกับเราด้วย

ที่เหลือต่อจากนี้เป็นเรื่องวิธีการคัดคนมาเข้าทีมแล้ว ก็ต้องดูว่าจะทำงานด้วยกันได้ไหม อุปนิสัยใจคอจะเข้ากับทีมได้หรือไม่ ก็เป็นปัจจัยด้วยเหมือนกัน

ตอนนี้ก็ยังอยากได้คนที่มาช่วยทำ  Security Code Review อยู่นะ หายากจริงๆ

07 กันยายน 2558

เที่ยวญี่ปุ่น: Furano/Biei ฟาร์มโทมิตะ บ่อน้ำสีฟ้า ใน 1 วัน

Furano และ Biei บนเกาะฮกไกโดในฤดูร้อน ขึ้นชื่อเรื่องภูมิทัศน์ ความสวยงามของดอกไม้ และความอร่อยของ Yubari Melon จึงเป็นเป้าหมายของนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก แม้ว่าการเดินทางในช่วงฤดูร้อนในแถบนี้ การขับรถดูเหมือนจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดที่จะไม่ได้ถูกจำกัดเรื่องเวลา แต่อย่างไรก็ตามค่าเช่าที่แพงเอาการในช่วงฤดูร้อนและตัวผมที่เดินทางคนเดียว ตัวเลือกนี้ก็ถูกตัดไป
เมื่อพิจารณาการเดินทางแบบอื่นพบว่าถ้าพักที่ Sapporo ไปแล้วเดินทางไปตั้งต้นที่ Furano หรือ Asahikawa ก็มีตัวเลือกคือ

  • ใช้รถไฟของทางการรถไฟญี่ปุ่นบนเกาะฮกไกโด (JR Hokkaido) ไม่ว่าจะเป็นขบวนปกติไป Asahikawa หรือต่อรถไฟระหว่างทางไป Furano รวมถึงรถไฟขบวนรถด่วนพิเศษ Sapporo-Furano โดยตรง
  • ใช้รถประจำทางจาก Sapporo ไปยัง Furano ซึ่งเป็นรถบัสหวานเย็นจอดมันทุกป้ายใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงครึ่งของบริษัท Chuo-Bus 2,260 เยนต่อคน เที่ยวเดียว อยากรู้ว่าหวานเย็นแค่ไหนดูตารางเดินรถได้ที่นี่
หากตั้งต้นที่ Asahikawa หรือ Furano ก็จะสามารถเดินทางไปเที่ยวจุดต่างๆ โดยสถานีหลักๆ ได้แก่ Furano (เที่ยวโรงงานชีส ไวน์ ขนม) Nakafurano (Farm Tomita) Biei (Patchwork Road, Hokusei Hill Observatory, Aoiike บ่อน้ำสีฟ้า แม่น้ำสีฟ้า) ได้ดังนี้
  • ระหว่าง Furano-Biei-Asahikawa จะมีรถไฟธรรมดา รวมถึงรถไฟ Norokko ระหว่าง Asahikawa กับ Furano ที่หยุดที่สถานีพิเศษชื่อ Lavender Station ใกล้ Farm Tomita มากกว่า ส่วนรถไฟธรรมดาต้องลงที่สถานี Nakafurano แล้วนั่ง Taxi ไป
  • ใช้ Lavender Bus ที่วิ่งระหว่างสถานี Asahikawa สนามบิน Asahikawa และ จุดต่างๆ ใน Furano โดยถ้าจะไป Farm Tomita ก็ต้องลงที่ Nakafurano เช่นกัน
ทั้งสองทางเลือกข้างบนจะไม่ได้เดินทางไปจุดท่องเที่ยวโดยตรงเพราะเป็นเส้นทางเดินรถหลักไม่ใช่เส้นทางท่องเที่ยวเสียทีเดียว ถ้าต้องการเที่ยวสามารถใช้บริการต่างๆ นี้ได้
  • ใช้ Kukuru Bus 2-Day Pass 1,400 เยน วิ่งระหว่างจุดต่างๆ ใน Furano กับจุดท่องเที่ยวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Cheese Factory, Furano Winery, Furano Grape Juice Factory รวมทั้ง Farm Tomita เป็นต้น ซึ่งอยู่แต่แถบ Furano ไม่ได้ไป Biei
  • ใช้ Twinkle Bus ของ JR เป็นรถท่องเที่ยวโดยเฉพาะซึ่งมีหลายเส้นทางให้เลือกเช่น เริ่มต้นที่สถานี Biei แล้วกลับมายัง Biei หรือ Biei-Furano หรือจาก Asahikawa ไป Furano หรือ จาก Furano มายัง Asahikawa
  • จากสถานี Biei จะไปบ่อน้ำสีฟ้า มีรถเมล์วิ่งสาย 39 ที่ไปยัง Shirogane Onsen โดยลงที่ Shirogane Aoiike Iriguchi (白金青い池入口) แล้วเดินเข้าไป ดูตารางเดินรถที่นี่ สีแดงคือสถานี Shirogane Aoiike Iriguchi คู่กลางคือสถานี Biei
ไม่ว่าจะเลือกเดินทางอย่างไรก็ดูเหมือนว่าจะเที่ยวแบบเดินทางจาก Sapporo ไปเช้าเย็นกลับ รวมทั้งได้ไปจุดยอดนิยมต่างๆ เหล่านี้ดูจะเป็นไปได้ยาก อาจจะไม่คุ้มกับการเดินทาง ซึ่งส่วนใหญ่มักจะได้รับคำแนะนำว่าค้าง Furano หรือไม่ก็ Asahikawa เถอะ (ไม่ค่อยมีใครแนะนำให้ค้าง Biei อาจเป็นเพราะมีโรงแรมไม่มาก) แต่ครั้งนี้ผมไม่มีเวลาเที่ยวมากขนาดนั้น

จนกระทั่งผมพบบริการทัศนาจรของ Chuo Bus

Chuo Regular Sightseeing Bus

ผมพบเว็บไซต์ Chuo Bus นี้จากการค้น Google ด้วย keyword คือ sapporo furano biei farm tomita one day tour แล้วก็พบ Farm Tomita, Blue Pond and Biei Tour ราคาทัวร์รวมอาหารเที่ยงคือ 7,200 เยน ได้ไปชม Patchwork Road แบบไม่ได้ลงจากรถ แวะจุดชมวิว Hokusei no Oka ต่อด้วยบ่อน้ำสีฟ้า Aoiiike จากนั้นไปทานอาหารเที่ยงที่ร้านอาหารบนชั้นสองของพิพิธภัณฑ์ภาพวาด Sumio Museum และแวะชม สุดท้ายคือไป Farm Tomita แล้วก็กลับ Sapporo

จากเว็ปไซต์จะมี Web Form เป็นอีเมล์ไม่ใช่ออนไลน์ ให้เราจองทัวร์ในวันที่ต้องการ แล้วจะมีเมล์ตอบรับกลับมาในวันทำการถัดไป แต่จากข้อมูลในเว็บไซต์ เราสามารถจองที่สถานีรถประจำทาง Sapporo ตรง ชั้นสองตึก ESTA ที่ติดกับสถานี JR Sapporo ใกล้ Bic Camera ก่อน 18:00 ของวันก่อนวันเดินทางก็ได้ เนื่องจากกลัวเต็มก็เลยจองผ่านฟอร์มบนเว็บ จะมีการส่งอีเมล์ยืนยัน PDF File ข้อมูลของจุดรับตั๋วที่ Sapporo Bus Terminal Excel File ของ Tour Voucher ซึ่งตอนรับตั๋วใช้แค่เลขสำรองที่นั่งแล้วจ่ายเงินเท่านั้น

ทัวรไปที่อื่นๆ ก็น่าสนใจเช่นไปเที่ยวแหลม Shakotan ไปทะเลสาบ Shikotsu และ Toya แต่ว่าเนื่องจากเวลาจำกัดก็เลยไม่ได้เลือกไป
ตึก ESTA ที่ด้านล่างเป็น Sapporo Bus Terminal ออก West Gate ของ JR Hokkaido ก็จะเห็น แวะไปดูวันที่ไปถึง Sapporo
ชั้นสองทางเข้า ESTA จะเห็น Chuo-bus Sightseeing Bus Counter ซื้อหรือรับตั๋วที่นี่ ป้ายแดงๆ ถัดไปคือทางเข้า Bic Camera

เริ่มต้นเดินทาง

ผมไปรับตั๋วก่อน 8:00 ของวันเดินทาง ซึ่งจากอีเมล์บอกให้ไปรับตั๋ว 20 นาทีก่อนการเดินทาง เมื่อไปถึงก็บอกเลขสำรองที่นั่ง จากนั้นก็ชำระเงินซึ่งผมชำระด้วยบัตรเครดิตและรับตั๋วมา จากนั้นก็รอเรียก โดยที่ทัวร์ที่ผมจองออกเป็นขบวนที่สอง ก็จะมีไกด์ทัวร์ถือป้ายบอกว่าเป็นทัวร์อะไร ไปไหน โดยป้ายที่เรียกทัวร์ผมมีคำว่า Blue Pond ชัดเจนเพราะคณะก่อนหน้าไป Farm Tomita เหมือนกันแต่ไม่ไปบ่อน้ำสีฟ้า ไปชมดอกไม้ที่ฟาร์มอื่น ทัวร์ผมวันนี้คนไม่มาก ที่นั่งคู่ผมนั่งคนเดียวไม่มีใครมานั่งข้างๆ ลูกทัวร์เป็นจีน เกาหลี ญี่ปุ่น มีไทยหนึ่งหน่อคือผมเอง
ตั๋วเที่ยว Farm Tomita, Blue Pond and Biei
มื้อเช้าแบบรีบๆ แวะ 7-11 ซื้อก่อนมารับตั๋ว
บนรถทัศนาจรที่ Sapporo Bus Terminal
อาวุธวันนี้ Sony NEX-3 กับเลนส์ 55-210 mm f/4.5-6.3
ออกจาก Sapporo Bus Terminal วิ่งขนานไปกับทางรถไฟสักพักก็ถึงชายเมือง บรรยากาศชนบทก็สวยดีไกด์สาวก็บรรยายไปเรื่อยๆ เป็นภาษาญี่ปุ่น ก็ไม่รู้เรื่องหรอก รถมุ่งหน้าไปขึ้นทางด่วนเส้นที่ไปยัง Asahikawa โดยแวะพักที่ Sunagawa เป็นเหมือนจุดพักรถเพื่อให้ลูกทัวร์เข้าห้องน้ำ ไกด์ก็เขียนเวลานัดหมายว่ารถจะออกเมื่อไรบนป้ายให้ลูกทัวร์เห็นอย่างชัดเจน แถวนี้มีร้านค้าขายขนม อาหาร เครื่องดื่ม ของที่ระลึกครบเซ็ต ผมได้แต่ดูเพราะไม่อยากจะขนของมากมาย บริเวณใกล้กับร้านค้ามีสวนหย่อมที่ดูดีทีเดียว

Patchwork Road, Biei

เส้นทาง Patchwork Road มีภูมิทัศน์เป็นเนินเขาที่ต่อเนื่องกันไป สวยแบบที่ยังไม่เคยเห็นในภูมิภาคอื่นของญี่ปุ่น บางจุดทำให้นึกถึง Wallpaper ที่คุ้นชิน
ภาพนี้ถ่ายจาก Patchwork Road, Biei
ภาพนี้คือ Default Wallpaper ของ Windows XP ลองเทียบกับภาพที่ได้บริเวณ Patchwork Road ด้านบน

ต้นไม้ชื่อดัง

ต้นไม้ชื่อดังบริเวณ Patchwork Road มาจากโฆษณาทั้ง Print Ads และทางโทรทัศน์ (TVC: Television Commercial Ads) 3 จุด ได้แก่ Seven Star จากภาพโฆษณาบุหรี่ชื่อเดียวกัน, Ken & Mary จากโฆษณารถนิสสัน Love Skyline ปี 1972 และ Mild Seven จากภาพโฆษณาบุหรี่ชื่อเดียวกัน ส่วนแนวต้นโอ๊ค Parent and Child ก็เป็นที่รู้จักเนื่องจากการยืนต้นมานานลักษณะคล้ายพ่อแม่ลูก

ผมไม่แน่ใจว่าทัวร์นี้พาแวะชมทั้งสี่จุดหรือไม่ แต่ผมเห็นแค่สองจุดจากด้านที่ผมนั่งคือ Ken and Mary และ Seven Star เนื่องจากรถหยุดแต่ละจุดไม่น่าจะเกิน 10 วินาที ไม่แน่ว่าหยุดเพราะเป็นทางแยกด้วยหรือเปล่า
Ken and Marry
Seven Star

จุดชมวิวเนินตะวันตกเฉียงเหนือ (北西之丘展望公园, Hokusei no Oka)

ที่นี่จุดที่เป็นที่นิยมในการชมวิวบริเวณ Patchwork Road อีกบริเวณหนึ่ง มีสถาปัตยกรรมคล้ายปิระมิด วิวจากจุดนี้ก็จัดว่าสวยงามทีเดียว ตรงจุดนี้เริ่มจะมีผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับลาเวนเดอร์ขาย ผมก็เลยลองชิม Lavender Soft Cream รสชาติแปลกดี แต่โดยส่วนตัวก็รู้สึกเฉยๆ

บ่อน้ำสีฟ้า (青い池, Aoiike)

นี่เป็นจุดที่ผมอยากมาที่สุดรองจาก Farm Tomita แต่มาโดยรถโดยสารประจำทางค่อนข้างยากและต้องเดินจากปากทางเข้ามาไกลพอสมควร การซื้อทัวร์จึงทำให้ไม่ต้องเดินไกล แต่ก็อีกมีเวลาให้จำกัดแค่ 40 นาที ทำให้ผมเดินไม่ถึงแม่น้ำสีฟ้าที่อยู่ถัดไป ถ้าผมจะมาทัวร์อีกครั้งจะเดินไปถึงแม่น้ำก่อน แล้วจึงเดินย้อนกลับมาแถวบ่อน้ำ ดูแผนผังตามรูปข้างล่าง

น้ำในบ่อสวยมากไม่แน่ใจว่าจะมีปลาอยู่ได้หรือเปล่าเพราะไม่เห็น ที่จริงบ่อนี้เกิดขึ้นพร้อมกับการสร้างเขื่อนเพื่อลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับ Biei หากภูเขาไฟ Tokachidake เกิดระเบิด  แต่สารเคมีที่ทำให้เกิดสีฟ้าน่าจะไม่ได้เกิดจากความตั้งใจ ดูจากสีไม่รู้ว่าเป็น Copper Sulfate หรือเปล่า บ้างก็ว่า Aluminium Hydroxide

มื้อเที่ยงที่พิพิธภัณฑ์ภาพเขียนของ Goto Sumio (後藤純男, Goto Sumio Museum of Art)

Goto Sumio เป็นจิตรกรสีน้ำชั้นนำของฮกไกโด ซึ่งพิพิธภัณฑ์นี้เดิมเป็นสตูดิโอของท่าน ตั้งอยู่ใน Kamifurano ในสตูดิโอประกอบด้วยภาพวาดเป็นจำนวนมาก แต่ถ่ายภาพออกมาไม่ได้ คงต้องไปดูเองที่ Web Site นะครับ

ที่พิพิธภัณฑ์นี้ชั้นสองเป็นร้านอาหารชื่อ Furano Grill ซึ่งดูเหมือนจะมีชื่อเสียงพอสมควร อาหารที่ทัวร์จัดให้ทานมื้อเที่ยงที่นี่เป็นหมูสามชั้นตุ๋นซึ่งอร่อยดี และมียูบาริเมล่อนไว้ล้างปากด้วย

ทางรถทัวร์หยุดแวะพักที่นี่นานมากจนผมคิดว่าน่าจะเพิ่มเวลาที่อยู่ที่ Aoiike มากกว่า หลังจากทานมื้อเที่ยงและชมภาพเขียนเสร็จก็เลยถ่านรูปกับรถของ Chuo Bus และพนักงานขับรถกับไกด์(ไม่)สาว

ฟาร์มโทมิตะ (ファーム富田, Farm Tomita)

Farm Tomita เป็นเป้าหมายในการมา Furano ในครั้งนี้ และเป็นจุดสุดท้ายของทัวร์วันนี้ก่อนกลับ ที่จริงก่อนหน้านี้มีคณะที่รู้จักมาก่อนล่วงหน้า คือเพื่อนที่โบสถ์มาก่อนหนึ่งสัปดาห์ และพี่วศินกับแพต โปรวิชั่น มาก่อนสามสี่วัน ก็ได้ข่าวว่าดอกไม้เริ่มโรยแล้ว ลาเวนเดอร์ยังพอมีกลิ่น แต่ทุ่งลาเวนเดอร์อย่างที่เห็นตามโปสเตอร์กันก็โรยหมดแล้ว ก็เลยไม่ค่อยหวังอะไรมาก แต่จากที่ได้มาชมแล้วก็ยังพอมีมุมสวยๆ ให้ถ่ายรูปล่ะ


สิ่งที่ผมชอบมากที่สุดกลับเป็น Yubari Melon ซึ่งผมกินไปหลายชิ้นเหมือนกัน อีกอย่างก็คือ Melon Soft Cream ซึ่งอร่อยกว่า Lavender Soft Cream อีกนะ ทำเอาผมกลายเป็นแฟนของ Hokkaido Yubari Melon ไปเลย ซื้อของฝากเป็นผลิตภัณฑ์ Melon กลับกรุงเทพเต็มไปหมด สีของ Yubari Melon จะเป็นสีเหลืองคล้ายแคนตาลูปไม่เหมือนเมล่อนทั่วไปที่สีเขียว

หลังจากอยู่ที่ Farm Tomita ประมาณ 60 นาทีก็เดินทางกลับ Sapporo นับว่าเป็นทัวร์ที่คุ้มค่ากับเงิน 7,200 เยนมากเลยครับ