04 พฤศจิกายน 2556

เที่ยวญี่ปุ่น ตอนที่ 1.2 จากนาริตะถึงชินจูกุ

การเดินทางในญี่ปุ่น ระบบขนส่งสาธารณะสามารถพึ่งพาได้เป็นอย่างมาก ผิดกับบางประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากสนามบินนาริตะไปยังที่ต่างๆ สามารถเดินทางได้ทั้งรถไฟและรถลีมูซีนบัส แต่ในปัจจุบันคนนิยมขึ้นรถไฟมากกว่า โดยมีรถไฟที่ให้บริการอยู่สองเจ้าคือ East Japan Railway หรือ JR East กับ Keisei ทั้งคู่มีบริการรถไฟด่วน ของ JR East คือ Narita Express หรือ NEX ส่วนของ Keisei ชื่อ Skyliner ซึ่งมีข้อดีข้อเสียต่างกัน โดย The Japanese Railway Society ได้ทำการเปรียบเทียบไว้ที่หน้า Skyliner and Narita-Express

โดยสรุปแล้วการที่ Skyliner มาทีหลังทำให้เรื่องความเร็วจะเป็นต่อ แต่ความครอบคลุมน้อยกว่า NEX แต่เนื่องจากเหตุผลบางประการดังต่อไปนี้ทำให้ผมเลือก Keisei Skyliner

  • การเดินทางจากนาริตะไปชินจูกุ Skyliner ประมาณ 1 ชั่วโมง คือ Skyliner จากนาริตะถึงนิปโปริ (Nippori) ใช้เวลา 36 นาที และต่อ JR สาย Yamanote อีก 20 นาทีถึงชินจูกุ ในขณะที่ NEX ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 31 นาทีแต่ถึงสถานีชินจูกุโดยไม่ต้องเปลี่ยนขบวน
  • แม้ว่า Skyliner จะต้องเปลี่ยนขบวนมาใช้ JR ซึ่งไม่สะดวกโดยเฉพาะอย่างยิ่งมาเจอชั่วโมงเร่งด่วน แต่เนื่องจากครั้งนี้มีกระเป๋าล้อลากไม่ใหญ่กับเป้ จึงไม่ได้เป็นอุปสรรค แต่ถ้ามาเป็นครอบครัวหรือสัมภาระเยอะมาก NEX จะสะดวกกว่า
ส่วนเรื่องราคา Skyliner + Metro Pass 2-Day แค่ 2,980 เยน บวกกับ JR จากนิปโปริถึงชินจูกุ 190 เยนรวม 3,170 เยน เมื่อเทียบกับ NEX + Suica 2,000 เยน ในราคา 3,500 เยน (เที่ยวเดียวจากนาริตะ) ก็ถือว่าสูสีขึ้นอยู่กับว่าจะเดินทางแบบไหน มากน้อย ซึ่งในครั้งนี้ตัดสินใจเที่ยวโตเกียวเท่านั้นฝั่ง Keisei Skyliner จึงมีภาษีดีกว่า ราคา Skyliner เที่่ยวเดียวนั้นก็ปาเข้าไป 2,400 เยนแล้ว

Operation Narita

พาดหัวให้ดูตื่นเต้นไปงั้นแหละ ที่จริงคือก่อนมาญี่ปุ่นได้วางแผนทางหนีทีไล่ในสนามบินเนื่องจากไม่ต้องการเสียเวลาหลังจากผ่านตรวจคนเข้าเมืองมาก จึงได้ศึกษาและวางแผนโดยสิ่งที่ต้องทำที่นี่คือซื้อ Keisei Skyline + Metro Pass และไปเอา SIM ที่ไปรษณีย์

พอออกมาถึงลอบบี้ขาเข้าชั้น 1 ปีกทิศใต้ ก็จะเห็น Keisei Counter อยู่ตรงหน้า (ดูแผนผัง Counter อื่นได้ที่นี่ มี Ticket Counter 3 จุดสีเขียว) ข้างๆ ก็เป็น JR East Counter เลือกใช้ได้ตามอัธยาศัย ก็ตรงไปซื้อตั๋ว Keisei Skyline + Metro Pass ตามรูป
ซองใส่ตั๋ว Keisei Skyliner และ Metro Pass
ตอนที่ไปถึงประมาณบ่ายสองครึ่ง พนักงานจะออกตั๋ว Skyliner เวลา 14:38 ให้ แต่ว่าผมบอกว่าต้องขึ้นไปไปรษณีย์ชั้น 4 ก่อน จึงเปลี่ยนเป็นเที่ยว 14:58 ตอนนั้นถึงคิดว่าทำไมไม่ไปเอา SIM ที่ไปรษณีย์ก่อนมาซื้อตั๋ว แต่ช่างมันเถอะ ที่นี่ไม่รับบัตรเครดิตต้องจ่ายเงินสดเท่านั้น ตั๋ว Skyliner ไม่ได้ถ่ายไว้แต่เป็นตั๋วขนาดพอๆ กับบัตรเครดิต ซึ่งตอนที่ไปซื้อตั๋ว JR ไปชินจูกุที่สถานีนิปโปริจะโดนยึดไว้เพื่อออก Gate จาก Keisei ไป JR

จากนั้นจึงขี้นไปชั้น 4 เพื่อไปเอา SIM มองที่แผนผังก็ไม่พบที่ตั้งไปรษณีย์ ซึ่งขณะนั้นอยู่ลอบบี้ขาออกปีกทิศใต้ เห็นพนักงานหญิงที่สวมชุดมีป้ายช่วยเหลือผู้โดยสารจึงถามทางไปไปรษณีย์ พนักงานก็บอกทาง แต่ไม่แค่นั้นพาเดินไปส่งถึงหน้าไปรษณีย์ซึ่งอยู่อาคารกลางระหว่างปีกทิศใต้กับปีกทิศเหนือ

ทาง b-mobile ได้ส่ง email แจ้ง Delivery Tracking Number เพื่อไปรับ SIM ที่ไปรษณีย์มาก่อนหน้านี้ และบันทึกไว้ในมือถือ จึงแสดงเลขนั้นกับเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ และได้รับซองขนาด A4 มา (ไม่รู้ทำไมต้องใหญ่ขนาดนั้น) ยังไม่ทำอะไรยัดใส่เป้แล้วรีบลงไปชั้น B1 เพื่อไปสถานีรถไฟ ที่ชั้น B1 ก็แวะซื้อชาเขียวขวดลิตรไปด้วย ทางลงไปสถานีของ Keisei จะอยู่ซ้ายมือ ส่วน JR จะอยู่ทางขวามือ

ประสพการณ์กับ Skyliner

เมื่อเข้าไปที่ทางเข้าต้องเอาตั๋วสอดเข้าช่องเพื่อผ่านประตูลักษณะคล้ายกับการใช้ตั๋วเที่ยวเดียวของ BTS บ้านเรา ต่างกันที่ปกติประตูจะเปิดพอเดินเข้าไปถ้าไม่สอดบัตรถึงจะมีบานประตูมากั้น ซึ่งสังเกตุว่าจะเป็นอย่างนี้ทุกสาย จากนั้นดูป้าย Sky Line และเดินตามไป เพราะอีกสายจะเป็น Main Line ซึ่งเป็นรถธรรมดา

ลงไปก็จะมีป้ายแสดงว่าขบวนต่อไปขึ้นด้านไหน สักพักก็มีรถมาจอดเทียบและคนลง แต่พนักงานยังไม่ให้ขึ้นเพราะต้องทำความสะอาดก่อนจึงเดินไปถ่ายรูปรถ

ส่วนหัวของ Keisei Skyliner
Skyliner ทั้งขบวน
ระหว่างรอทำความสะอาดก็แกะซองพัสดุออกมา ข้างในมีซองใส่ SIM เหมือนกับที่โฆษณาตามรูป
ซองใส่ b-mobile Visitor SIM 1GB prepaid
เมื่อพนักงานอนุญาตก็ขึ้นไปในตั๋วระบุเป็นคันที่ 2 เลขที่นั่ง B9 ที่นั่งพอนั่งสบาย ที่เท้ามีเต้ารับให้เสียบอุปกรณ์ไฟฟ้าด้วย ขบวนนี้ตลอดเส้นทางไม่มีใครมานั่งข้างผม 
ภายในของ Skyliner ตรงกระเป๋าสีแดงคือที่นั่งผม
เต้ารับไฟฟ้าด้านล่างของที่นั่ง
พอถึง 14:58 ปุ๊บรถก็ปิดประตูออกปั๊บตรงเวลาเป๊ะ นั่งจากนาริตะเทอร์มินัล 1 ทั้งคันมีผมคนเดียว พอมาเทอร์มินัลสองจึงมีคนขึ้นมามากขึ้น แต่ก็ยังค่อนข้างว่าง
คนมากขึ้นหลังจากเทอร์มินัล 2
บนรถก็เลยจัดการกับโทรศัพท์ Galaxy Note II เอา SIM ของ TrueMove H ออกใส่ SIM ของ b-mobile ลงไป เมื่อเปิดเครื่องจะยังใช้งานไม่ได้เพราะมันจะเข้า APN ของ DoCoMo โดยอัตโนมัติและไม่ให้ใช้งาน จึงต้องตั้ง APN เป็นของ b-mobile ตามแผ่นพับที่อยู่ในซอง สักพักก็ใช้งานได้เริ่ม Online ส่ง Intagram ออกมาบอกเพื่อนๆ ส่วนเครื่อง HTC Desire S ที่ใส่ SIM ของ DTAC ก็เปิดมา Roaming เช็คข้อความบ้างเล็กน้อย

นั่งมาเรื่อยๆ จนอีก 5 นาทีถึงสถานีนิปโปริก็มีประกาศทั้งญี่ปุ่น อังกฤษ และจีนว่าอีก 5 นาทีถึงนิปโปริให้เตรียมตัว พอใกล้ถึงก็มีเสียงแจ้งอีกครั้ง ลงสถานีนิปโปริชานชลา 0 ก็ต้องเดินขึ้นบันไดเลื่อนมา 1 ชั้น ซึ่งจากการศึกษาแผนผังสถานีนิปโปริมาก่อนจึงไม่งง มาถึงก็ไปซื้อตั๋ว JR เพื่อไปชินจูกุ จ่ายเงิน 190 เยนโดยที่ Counter ก็เอาตั๋ว Skyliner ไปก่อนให้ตั๋ว JR เพื่อเข้า JR Line Connecting Ticket Gate

จากนั้นก็หาทางเดินลงไปยังชานชลา 11 ที่ไปยังชินจูกุโดยสาย Yamanote ช่วงก่อนสี่โมงเย็นคนก็เริ่มเยอะ เมื่อขึ้นไปก็ยืนเกือบตลอดทาง ได้นั่งช่วงสั้นๆ ก่อนถึงชินจูกุไม่กี่ป้าย
ถ่ายตัวเองบน JR สาย Yamanote ไปชินจูกุ

สถานีชินจูกุ

สถานีนี้เป็นหนึ่งในสถานีหลักของโตเกียวซึ่งมีรถไฟและรถใต้ดินผ่านถึง 12 สาย ซึ่งไปถึงครั้งแรกถึงกับงง ผ่านไปวันสองวันจึงคุ้นกับทางออกต่างๆ พอไปถึงก็หาทางไปทิศตะวันออก เนื่องจากโรงแรมแคปซูลที่จองไว้อยูด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของสถานีชินจูกุ ขณะที่อยูใต้ดิน Google Map ไม่ทำงาน จึงรีบขึ้นมาบนพื้นดินนอกอาคารเพื่อให้จับสัญญาณ GPS พอตั้งหลักได้ก็เดินตาม Google Map ไปยังโรงแรม

Shinjuku Kuyakushomae Capsule Hotel

ตอนที่เห็นโรงแรมแคปซูลตอนแรกๆ จากเว็บไซต์จองที่พักก็มีความสนใจมาก เพราะเดินทางคนเดียว น่าจะเป็นประสพการณ์ที่แปลกใหม่ แต่ติดอยู่ที่ว่าถ้าพักหลายวันของจะต้องเอาออกจาก Locker ตลอดจึงยังไม่ตัดสินใจในตอนแรก จนสุดท้ายเมื่อเปรียบเทียบความสะดวกและราคา ยอมลดสัมภาระลง จึงตัดสินใจเลือกที่นี่

โรงแรมอาจจะหายากในครั้งแรกเมื่อเดินจากสถานีรถไฟชินจูกุ แต่เมื่อคุ้นเคยจะพบว่าห่างจากทางเข้าทางเดินใต้ดินที่เชื่อมไปยังสถานีชินจูกุ และสถานีรถใต้ดินชินจูกุซานโจเมะเพียง 100 เมตรอีกฝั่งของถนนเท่านั้น จุดสังเกตุคือที่หัวมุมถนนเล็กๆที่แยกไปจากถนน Yasukuni Dori ฝั่งที่ตั้งโรงแรมจะมีร้าน Mister Donut เมื่อเดินจากร้าน Mister Donut เข้าไปจะพบป้ายแมวสีเหลืองของร้านคาราโอเกะที่อยู่ชั้น 5 ตึกเดียวกันกับโรงแรมบนเสาต้นหนึ่ง ป้ายโรงแรมจะอยู่ที่เสาอีกต้นถัดไป ทางเข้าจะอยู่ระหว่างเสาสองต้นนี้

เข้าไปเช็คอินต้องขึ้นลิฟต์ไปชั้น 3 เมื่อออกจากลิฟต์ถอดรองเท้าเก็บใน Locker สำหรับรองเท้าเอากุญแจ Locker ไปเช็คอิน เช็คอินต้องหลัง 16.00 เมื่อเช็คอินจะได้กุญแจ Locker เก็บของขนาดไม่ใหญ่ประมาณ กว้าง 30 cm สูง 100 cm ลึก 50 cm หมายเลข Locker กับหมายเลข Capsule เป็นเลขเดียวกันของที่ขนาดใหญ่ต้องฝากไว้บนชั้นข้างนอก ทุกวันจะต้องเช็คเอ้าท์และนำของออกจาก Locker ก่อน 10.00 หากพักหลายวันต้องเช็คอินใหม่หลัง 16.00 แต่ฝากของไว้ที่ชั้นบริเวณต้อนรับได้

แต่ละวันจะได้ Capsule ที่ไม่เหมือนกัน ใน Locker จะมีเสื้อคลุมและกางเกงสำหรับใส่นอนไว้ให้ ซึ่งจะเป็นขนาด M ที่ผมใส่ไม่ได้ แต่ขอเปลี่ยนขนาดได้ที่เค้าท์เตอร์เช็คอิน (เปลี่ยนเป็น LL :P) ห้องอาบน้ำรวมของผู้ชายอยู่ชั้น 3 มีเครื่องอำนวยความสะดวกครบครัน รวมทั้งอ่างอาบน้ำอุ่นรวมและซาวน่า มีห้องสันทนาการดูโทรทัศน์หรือใช้โต๊ะสำหรับนั่งทำงานได้ที่ชั้น 4

นอกจากนั้นมีตู้หยอดเหรียญซึ่งเท่าที่สังเกตวันอาทิตย์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจะหมด มีน้ำร้อนสำหรับใส่บะหมี่ มีเตาไมโครเวฟสำหรับอุ่นอาหาร มีเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญพร้อมอบผ้า 1.5 Kg 400 เยน ใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่งก็เสร็จ
แผนที่ Shinjuku Kuyakushomae Capsule Hotel
จุดสังเกตุถนนหน้าโรงแรมคือร้าน Mister Donut
ทางเข้าอยู่ระหว่างเสาที่มีป้ายสีเหลืองรูปแมวกับป้ายที่มีคำว่า Hotel
ผมใน Capsule
ประสพการณ์ครั้งนี้น่าประทับใจมาก สำหรับคนเคยพักแรมในป่าด้วยเต๊นท์ โรงแรมแคปซูลสะดวกกว่ามากมาย แต่สำหรับคนที่เหนียมอายไม่กล้าแก้ผ้าต่อหน้าสาธารณะในที่อาบน้ำรวมคงต้องผ่านตัวเลือกนี้ไป

เดินเล่นริมถนน Yasukuni Dori

หลังจากอาบน้ำและงีบสักพักก็ออกมาเดินเล่นและหาอะไรกิน โดยเริ่มเดินข้ามมายังฝั่งตรงข้าม Mister Donut ก่อน ซึ่งเป็นห้างอิเซตัน เดินมาสักพักก็มาสะดุดกับป้าย MK ใช่แล้ว ร้าน MK สุกี้ที่เรารู้จักมาเปิดในชินจูกุ บนชั้น 3 ของตึกที่มีป้าย GU สีฟ้าถัดจากตึกอิเซตัน
MK สุกี้ ชินจูกุ
จากนั้นก็เดินสำรวจ และดูว่าคนญี่ปุ่นทำอะไรกันหลังเลิกงานเย็นวันศุกร์ เดินไปถึงแถบที่เป็นร้านเหล้าก็พบว่าวันนี้ไม่คึกคักเท่าที่คาดไว้ จึงเดินย้อนกลับมาโดยข้ามถนนมาอีกฝั่ง

มื้อแรกในญี่ปุ่น

อาหารญี่ปุ่นที่ผมชอบที่สุดคือราเมง มื้อนี้เลยตั้งใจหาราเมงกินเป็นพิเศษ แต่เพิ่งมาถึงก็รู้สึกว่าอะไรๆ ก็แพงไปหมด ราคาก็ยังรับไม่ค่อยได้ มื้อแรกก็เลยหาราเมงที่ไม่หรูหรานักกินในราคา 500 เยน โดยไปหยอดเหรียญ 500 เยน เลือกราเมงมีหมูชิ้นนึง ราคา 400 เยนจากตู้ โดยดูจากตัวเลขของภาพตัวอย่าง แต่มันไม่ทอน -.-! มีไฟให้จิ้มอยูสองปุ่มคาดว่าเป็น Topping หรืออะไรสักอย่างที่อ่านไม่ออก สุ่มจิ้มไปหนึ่งอัน ได้ตั๋วออกมาสองใบเอาไปยื่นที่เค้าท์เตอร์ จากนั้นก็ไปนั่งรอ สักพักก็มีการเรียกก็เดินไปหยิบมา ไม่รู้มาก่อนว่าต้องบริการตัวเอง ได้บะหมี่มาดังภาพ ร้านชื่ออะไรไม่รู้อ่านไม่ออก อยู่ที่หัวมุมถนน Meji Dori ตัดกับ Yasukuni Dori
ราเมงมื้อแรกที่ญี่ปุ่น ดูจากรูปน่าจะได้เพิ่มสาหร่าย
 ร้านอยู่หัวมุมถนน Meji Dori ตัดกับ Yasukuni Dori
จบตอนที่ 1.2

ตอนที่เกี่ยวข้อง
เที่ยวญี่ปุ่น ตอนที่ 0 วางแผน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น