22 พฤศจิกายน 2556

เที่ยวญี่ปุ่น ตอนที่ 4.1 จากชินจูกุถึงฟูจิซัง

21 ตุลาคม 2013 เช้าวันที่ 4 ในญี่ปุ่น ถึงเวลาเดินทางไปคาวางูชิโกะ ซึ่งผมจองตั๋วไว้รอบ 8:40 จาก Shinjuku Express Bus Terminal การขึ้นที่นี่ต้องตรวจสอบให้ดีว่าเป็นรถของบริษัทไหน แม้ว่าจุดที่ซื้อตั๋วจะเป็นที่เดียวกันก็ตาม เพราะมี 2 บริษัทที่ใช้เส้นทางเดียวกันคือ Keio ซึ่งเป็นเจ้าของสถานีระบัสชินจูกุ กับ Fujikyu ซึ่งเป็นเจ้าของสถานีปลายทางในแถบภูเขาฟูจิ รวมทั้งสถานีคาวางูชิโกะด้วย โดยรถของ Keio จะจอดติดกับที่ขายตั๋ว แต่รถของ Fujikyu จะจอดที่ป้ายริมถนนฝั่งตรงข้ามสถานีรถไฟ JR ทางออกตะวันตก แต่ก็อยู่ใกล้กัน

มื้อเช้ากับข้าวแกงกะหรี่ไก่ราคาถูกแต่ ... สุดๆ

วันที่มาซื้อตั๋วนั้นกินครัวซองกับกาแฟร้าน Burger King แต่ก็เล็งร้านตรงข้ามไว้ซึ่งตอนนั้นยังไม่เปิด เป็นร้านข้าวแกงกะหรี่ วันนี้ก็ขอลองก่อนไปขึ้นรถซะหน่อย ร้านนี้ไม่มีเมนูภาษาอังกฤษ ดังนั้นต้องอาศัยภาพและความจำ ก่อนอื่นก็ไปยืนเลือกว่าจะกินอะไร ซึ่งผมเลือกข้าวแกงกะหรี่ไก่ราคา 370 เยน ตามภาพด้านล่างแถวล่างซ้ายสุด ซึ่งถูกมากแต่ก็มีไก่แค่สองชิ้น หลังจากนั้นก็จำตัวอักษรไว้
ขั้นต่อไปก็มาหยอดเหรียญที่ตู้ตามราคา (ใช้ธนบัตรก็ได้นะ) จะมีไฟสีแดงขึ้นที่เมนูตามที่หยอดเหรียญไป จากนั้นก็เลือกตามตัวอักษรที่จำไว้ ซึ่งตรงกับหมายเลข 37 แถวที่ 4 จากล่างอยู่ลำดับที่สองในแถว จากนั้นจะได้ตั๋ว นำตั๋วไปให้ที่เคาน์เตอร์
ร้านดูเหมือนจะเป็น Chain Restaurant โดยที่เมนูจะมี QR Code ของร้านแปะไว้ด้วย ซึ่งอ่านมาเป็นลิ้งค์ไป http://www.imasa.co.jp ซึ่งร้านนี้ก็คือ カレーハウス11イマサ (บ้านแกงกะหรี่ 11 อิมะสะ)

ภายในร้านตกแต่งในแนวร้านอาหารจานด่วนทำนองเดียวกับบะหมีฮะจิบัง มีเครื่องปรุงและเครื่องเคียงเรียงกันไปตามเคาท์เตอร์

รอสักพักก็เสริฟข้าวแกงกะหรี่ไก่ตามที่สั่ง จำนวนชิ้นของไก่เท่ากับรูปที่โฆษณา ที่จริงผมไม่ใช่คนที่ชื่นชอบข้าวแกงกะหรี่มากมาย แต่ผมก็ไม่เคยกินข้าวแกงกะหรี่ที่อร่อยกว่านี้มาก่อนในเมืองไทย เป็นร้านที่ขอแนะนำ เพราะน่าจะหากินง่าย
ข้าวแกงกะหรี่ไกสองชิ้น แต่เชื่อเหอะ ความอร่อยไม่ได้อยู่ที่ไก่
ร้านที่ไปนั่งกินเป็นสาขาที่อยู่ในส่วนของ Keio Mall

ออกเดินทาง

ตั๋วที่ผมจองไว้เป็นของ Fujikyu เลยต้องไปขึ้นฝั่งตรงข้ามกับสถานี JR รถคันที่นั่งมาก็ไม่เต็มนัก ออกเดินทาง 8:50 ช้ากว่ากำหนดเพราะผู้โดยสารที่จองตั๋วล่วงหน้าไว้มาช้า อย่างไรก็ตามรถก็แวะรับผู้โดยสารตามป้ายต่างๆ ซึ่งบนทางด่วน จะมีป้ายที่ให้ผู้โดยสารรอเป็นทางเบี่ยงเข้าไปจอดรับได้ ซึ่งแม้ว่าระหว่างที่เดินทางจะไม่มีผู้โดยสารรอขึ้นรถ แต่คนขับก็จะเบี่ยงรถไปจอดในทุกป้าย และไปถึงสถานีคาวางูจิโกะ 10:32 ตามเวลา
ถ้าขึ้นรถของ Keio ต้องมาขึ้นตรงนี้ ติดกับที่ขายตั๋ว ของ Fujikyu ไปอีกที่
บนรถบัสของ Fujikyu

สถานีคาวางูจิโกะ (河口湖駅 - Kawaguchiko Station)

ต้องบอกว่าแถบภูเขาไฟฟูจินี้เป็นถิ่นบริษัท Fujikyu ก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นรถไฟสาย Fujikyuko จากสถานี JR Otsuki (สาย Chuo) ถึงคาวางูจิโกะ สวนสนุก Fuji Q Highland รถ Retro Bus ทัวร์ริมทะเลสาบ รถบัสขึ้นภูเขาฟูจิสถานีที่ 5 เส้นซูบารุ (Subaru Line) เรือล่องทะเลสาบคาวางูจิ กระเช้าขึ้นชมทิวทัศน์รอบทะเลสาบคาวางูจิและภูเขาฟูจิ เป็นต้น สถานีคาวางูจิโกะก็เช่นกันเป็นของบริษัท Fujikyu
Fuji Q Highland
สถานีคาวางูจิโกะ (Kawaguchiko Station)
นั่นหมายความว่าจะจองตั๋วสำหรับการเดินทางระหว่างคาวางูจิกับที่ใดๆ ก็ตามสามารถทำได้ที่สถานีแห่งนี้ทั้งสิ้น เมื่อมาถึงผมจึงซื้อตั๋วโดยสารสองอย่าง อย่างแรกคือตั๋วล่วงหน้า Night Bus นอนบนรถไปยังเกียวโตแบบแถวละ 3 ที่นั่งราคา 8,000 เยน ซึ่งไปลงโอซากาก็ได้ในราคา 8,500 เยน ที่จริงมีแบบแถวละ 4 ที่นั่ง (2+2) เหมือนรถโดยสารทั่วไปและราคาก็ถูกกว่า แต่ผมไม่มั่นใจว่าคนจะเยอะจนต้องนั่งติดกันหรือเปล่าจึงไม่ซื้อ มาพบตอนที่แวะที่พักกลางทางว่าว่างมาก น่าเสียดาย เพราะราคาถูกกว่า
ตั๋ว Night Bus จากคาวางูจิโกะไปเกียวโต
อย่างที่สองก็คือตั๋ว Fujisan Fujigoko Passport ซึ่งมีหลายแบบแบ่งได้ตามตารางดังนี้
Price (Yen) Light (2 days) Normal (3 days)
Standard 2,500 3,800
Mishima/Shin-Fuji 4,500 5,800
Mishima Liner 5,400 6,700
ซึ่งสามารถใช้ขึ้นรถประจำทางของ Fujikyu ได้ทุกสายในแถบทะเลสาบทั้ง 5 รวมทั้ง Retro Bus โดยที่ตั๋ว 3 วันจะรวมค่ารถไปกลับสถานีที่ 5 ภูเขาฟูจิด้วย ซึ่งถ้าซื้อแยกจะมีราคา 2,000 เยน สามารถเลือกบริการเสริม Mishima/Shin-Fuji ซึ่งจะสามารถโดยสารรถประจำทางระหว่างสถานี JR Mishima/Gotemba สถานีชินกังเซ็น Shin-Fuji และคาวางูจิโกะ ไม่จำกัดจำนวนเที่ยว หรือเพิ่ม Mishima Liner เพื่อโดยสารรถประจำทางด่วนสาย Mishima ไปกลับได้ 1 รอบเพิ่มจากบริการเสริม Mishima/Shin-Fuji ก็ได้ ซึ่งสำหรับผมเลือกแบบ 3 วันมาตรฐานแม้จะเที่ยวแค่สองวันหนึ่งคืน

(update 30/5/2015: Fujisan Fujigoko Passport เปลี่ยนราคา และไม่มีแบบ 3 วันให้เลือกแล้ว)

จากนั้นผมก็ฝากกระเป๋าไว้ที่สถานีในราคาใบละ 300 เยน สะพายแต่เป้ขึ้นภูเขาฟูจิ โดยในเป้ก็มีแต่กล้อง Canon G9 ขาตั้งกล้อง คลิปยึดมือถือกับขาตั้งกล้อง และชาขวดลิตรหนึ่งขวด กะเดินถ่ายรูปและชมทิวทัศน์เท่านั้น

ขึ้นเขาฟูจิ (富士山 Fuji-san)

ทางขึ้นภูเขาฟูจิมีอยู่ 4 เส้นทาง มาทางคาวางูจิโกะก็ต้องขึ้นภูเขาฟูจิทางเส้นซูบารุ (Subaru Line) ซึ่งในแต่ละเส้นรถขึ้นได้ถึงสถานีที่ 5 และหากจะขึ้นยอดเขาต้องเดินต่อ สถานีที่ 5 แต่ละเส้นมีความสูงไม่เท่ากัน ของเส้นซูบารุขึ้นไปได้ถึงครึ่งทางของทางเดินเส้นโยชิดะ (Yoshida Trail) แต่ผมไม่สนใจว่าไกลแค่ไหนในตอนนี้เพราะไม่ได้ตั้งใจจะเดินขึ้น ไม่ฟิตพอ แต่ถ้ามีเพื่อนเดินขึ้นอาจจะไม่แน่ มาครั้งต่อไปต้องหาเพื่อร่วมเดินขึ้นยอดเขา

ภูเขาฟูจิหน้าหนาวจะไม่สามารถขึ้นได้ตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคมถึงกลางเดือนมีนาคม ดังนั้นถ้าหากจะวางแผนมาต้องพิจารณาเรื่องวันด้วย

เที่ยวครั้งนี้มาคนเดียวก็จริง แต่ก็มีสาวๆร่วมทางขึ้นฟูจิหลายคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 3 สาวสเปน ทำให้ เกือบชั่วโมงที่ขึ้นเขาไม่เมื่อยสักเท่าไรแม้ยืนตลอดทาง ข้างล่างนั้นท้องฟ้าดูมืดครึ้ม ก็หวั่นว่าบนเขาจะฝนตกไหม
ขึ้นรถที่สถานีคาวางูจิโกะ
ด่านเก็บค่าผ่านทางขึ้นภูเขาฟูจิเส้นซูบารุ
เมือขึ้นไปถึงก็พบว่าแสงแดดดีมากเหมาะแก่การถ่ายรูป โดยรูปแรกสาวสเปนเป็นคนถ่ายให้ หลังจากนั้นรูปที่มีผมอยู่ก็จะใช้ขาตั้งกล้องบวกกับคลิปจับมือถือ Galaxy Note 2 แทบทั้งสิ้น เริ่มถ่ายจากศูนย์ดำเนินการ จากนั้นก็เดินไปทางขึ้นเขา
รูปนี้สาวสเปนถ่ายให้
ตั้งเวลาถ่ายเองโดยใช้ขาตั้งกล้องกับคลิปยึดมือถือ
หน้าทางเข้าศาลเจ้า ขึ้นเขาก่อนเดี๋ยวจะลงมาอีกที
เดินถ่ายรูปไปตามทางขึ้นเขาเรื่อยๆ แต่ก็ถ่ายยอดภูเขาฟูจิยากมากเพราะย้อนแสง เดินขึ้นไปจนกระทั่งหมอกหนาเห็นท่าไม่ดีก็เดินกลับลงมา






จากนั้นก็เดินเข้าไปที่ศาลเจ้าโคมิตาเกะ (Komitake Shrine) เจอคนไทยเพียบ ต่างจากทางเดินขึ้นเขาที่เจอแต่คนญี่ปุ่น คนจีน และชาวยุโรป มีคนไทยใจดีมาถ่ายรูปให้โดยคิดว่าผมเป็นคนชาติอื่นด้วย จากนั้นก็ออกประตูด้านข้างของศาลเจ้า ไปทางลานจอดรถ แล้วกลับขึ้นรถลงเขาไปสถานีคาวางูจิโกะ
รูปนี้ถ่ายเอง เป็นประตูแรกของทางเข้าศาลเจ้า
รูปนี้คนไทยที่มากันเป็นครอบครัวถ่ายให้
จุดที่ถ่ายรูปภูเขาฟูจิได้ดีจะอยู่ตรงนี้ แม้ย้อนแสงแต่เงาของต้นไม้ในศาลเจ้าช่วยได้มาก
รูปนี้กลับมาเจอสาวสเปนมาถ่ายให้
ถ่ายกับสามสาวสเปนในศาลเจ้าโคมิตาเกะ (Komitake Shrine) โดยมีคนไทยมาถ่ายให้ ใช้กล้อง Canon G9 ตั้ง Auto ทุกอย่าง
อยากให้ดูว่าอยู่เหนือเมฆ
ถ่ายตรงลานจอดรถเห็นยอดฟูจิเต็มๆ
จบตอนที่ 4.1
ตอนที่เกี่ยวข้อง
เที่ยวญี่ปุ่น ตอนที่ 0 วางแผน
เที่ยวญี่ปุ่น ตอนที่ 1.1 จากสุวรรณภูมิถึงนาริตะ
เที่ยวญี่ปุ่น ตอนที่ 1.2 จากนาริตะถึงชินจูกุ
เที่ยวญี่ปุ่น ตอนที่ 2.1 Tokyo Metro Pass และ อาซะกุสะ
เที่ยวญี่ปุ่น ตอนที่ 2.2 ก่อนไปดูกันดั้ม เที่ยวอูเอโนะ (Ueno) และกินซ่า (Ginza)
เที่ยวญี่ปุ่น ตอนที่ 2.3 Gundam ที่โอไดบะ (Odaiba)
เที่ยวญี่ปุ่น ตอนที่ 3 ซูชิทำให้วันนี้ไม่หดหู่

16 พฤศจิกายน 2556

เที่ยวญี่ปุ่น ตอนที่ 3 ซูชิทำให้วันนี้ไม่หดหู่

20 ตุลาคม 2013 วันอาทิตย์ วันที่สามในโตเกียว เป็นวันที่เปลี่ยนแผนจากการเที่ยวนิกโก (Nikko) มาเป็นเที่ยวในโตเกียว แต่ดูเหมือนอะไรก็ไม่เป็นใจ พยากรณ์อากาศบอกว่าวันนี้จะมีฝนตกทั้งวัน และจะหยุดเอาบ่ายสาม ก็จริง แต่ไม่ทั้งหมด บ่ายสามก็ยังพรำอยู่ วางแผนไว้ว่าจะกลับไปศาลาว่าการกรุงโตเกียว (Tokyo Metropolitan Government Building: TMG) อีกครั้งหลังจากที่แห้วไปเมื่อวันเสาร์ ต่อด้วยฮาราจูกุ พระราชวังอิมพีเรียล สุดท้ายก็แห้วอยู่ดี

เริ่มต้นวันนี้ด้วยการซื้อตั๋วล่วงหน้าไปคาวางูจิโกะ (Kawaguchiko) ที่ Shinjuku Express Bus Terminal ออกก่อนสองโมงเช้า ราคา 8,000 เยน คาดว่าจะใช้บัตรเครดิตได้ แต่รับแต่เงินสดเท่านั้น ทำให้เงินสดที่แลกมาแค่ 31,000 เยนเท่านั้นแทบจะไม่เหลือ แต่คิดว่าเอาน่ะ เดี๋ยวหาตู้ ATM ที่รับ VISA Electron ถอนเอาก็ได้ จากนั้นก็ไปศาลาว่าการกรุงโตเกียว

อีกครั้งกับศาลาว่าการกรุงโตเกียว

ในวันฝนพรำคาดอยู่แล้วว่าคงจะเห็นอะไรไม่มาก ไม่ต้องคาดหวังว่าจะเห็นถึงภูเขาไฟฟูจิ แต่ว่าทัศนวิสัยมันแย่กว่าที่คาดหวังไว้อีก ฝนตกแรงขึ้นเรื่อยๆ ถึงกับเห็นมอเตอร์ไซค์ชนแทกซี่เพราะเบรกไม่อยู่ ระหว่างเดินทางไปที่ TMG เมื่อถึง TMG ก็เลือกขึ้นตึกเหนือเพราะคนรอคิวน้อยกว่า
หลังจากขึ้นไปถึงก็ได้แต่หดหู่เพราะทัศนวิสัยไม่ดีเลยจริงๆ แถมมีลมแรงและฝนหนาเม็ดขึ้นอีก

ของที่ระลึกที่ขายก็ยังอุตส่าห์มี Gunpla อีก
ตึกใต้ก็มีชั้นชมทิวทัศน์ที่ความสูงเดียวกัน
เมื่อไม่สามารถมองเห็นอะไรก็เลยหาอะไรกิน (อีกแล้ว) บนตึกเหนือมีร้านอาหารอยู่ซึ่งมีมุมชมวิวแยกต่างหาก เลยไปสั่งคาปูชิโนกับวอฟเฟิล 540 เยนเห็นจะได้ หน้าตาน่ากินมีชาติตระกูลพอตัว นั่งทอดหุ่ยจนเกือบเที่ยงก็ลงลิฟต์กลับ เจอคนไทยอีกแล้วครอบครัว 5 คนเห็นจะได้

เงินจะหมด ทำไงดี

ด้วยความที่ปกติเวลาไปเที่ยวจะพยายามใช้บัตรเครดิตให้มาก เงินสดให้น้อยเพราะไม่ชอบพกเงินเยอะเลยแลกมาแค่ 31,000 เยน ซึ่งสำหรับญี่ปุ่นเป็นการตัดสินใจที่ผิด ใน Pantip.com มีคนประมาณการไว้ว่าค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ยจะตกประมาณ 10,000 เยน ต่อคนต่อวัน ซึ่งผมย่ามใจว่าโรงแรมจ่ายไปหมดแล้วก็น่าจะทำให้อัตรานี้ลดลง ซึ่งผิด เพราะพบว่าค่าใช้จ่ายในการเดินทางโดยซื้อ Pass ต่างๆ ที่ผมวางแผนไว้ หรือรถบัสไม่รับบัตรเครดิต เงินสดเท่านั้น พอถึงวันที่สามผมเหลือเงินแค่หมื่นเยนเศษๆ ซึ่งเป็นเรื่อง

พยายามหาตู้ ATM โดยลองสุ่มดูว่ารับ VISA Electron หรือเปล่าก็ไม่พบ ถึงคราวที่ต้องใช้ทวิตเตอร์ช่วย ส่งข้อความออกไปมีคนตอบกลับมาสองคนคือ @vow_vow บอกให้หาตู้ที่มีเครื่องหมาย PLUS ซึ่งรับ VISA Electron แต่ก็ไม่เห็น ข้อมูลที่ได้จาก @cerebrophobia มีค่ามากคือให้มองหาตู้ ATM ที่ร้าน 7-11 ตอนแรกก็งงว่าทำไมต้อง 7-11 จากการค้นอินเทอร์เน็ตในตอนนั้นจึงเข้าใจ พบว่า 7 Bank ซึ่งมีเจ้าของเดียวกันกับ 7-11 เป็นธนาคารเดียวในญี่ปุ่นที่รับ VISA Electron ธนาคารอื่นรับของต่างชาติแค่ Union Pay และตู้ใน 7-11 จะเป็นของ 7 Bank ทั้งหมด

หลังจากนั้นทั้งทวิตและขึ้น Status บน Facebook หาร้าน 7-11 จนเพื่อนที่ทำงาน Lawson บ่นน้อยใจว่าทำไมหาแต่ 7-11 :P

ปัญหาตอนนั้นของผมคือ แถวชินจูกุหา 7-11 ยากมาก พบแต่ Family Mart และ Lawson เดินวนหาหลายรอบก็ไม่มี อาจจะเป็นเพราะฝนตกเลยหาแต่ร้านที่อยู่ตามแนวทางเดินรถไฟไต้ดิน สุดท้ายจนปัญญา เลยไปถามเจ้าหน้าที่ของ JR (ซึ่งสาวและสวยอีกต่างหาก) ที่ Information Center สถานี JR ชินจูกุ ก็บอกทางไปจนเจอ 7-11 ซึ่งอยู่ในซอกแบบว่าถ้าไม่ตั้งใจไปหาก็ไม่เห็น และก็เจอตู้ ATM ของ 7 Bank เลยกดมาซะ 50,000 เยน ซึ่งคราวนี้คิดถูกเพราะที่คาวางูจิโกะใช้เงินสดล้วนๆ แถมต้องไปกดเพิ่มที่ชินนากาตะอีกต่างหาก

กลับมาตรวจสอบอัตราแลกเปลี่ยนพบว่า เงินที่แลกไปจาก Super Rich วันที่ 17 ตก 0.321 บาทต่อเยน (BOT: 0.3189) เงินที่กดวันที่ 20 อัตรา 0.3281 บาทต่อเยน (BOT: 0.3204) เงินที่กดวันที่ 24 ที่ชินนากาตะ อัตรา 0.333 บาทต่อเยน (BOT: 0.3231) โดยในวงเล็บเป็นอัตราขายถัวเฉลี่ยของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งสรุปว่ากด VISA Electron แพงกว่า Super Rich เล็กน้อย โดยบัตรเดบิตที่ใช้เป็นของธนาคารกสิกรไทยนั้นไม่มีค่าธรรมเนียมในการเบิกเงินสดต่างประเทศ

ดังนั้น ไปญี่ปุ่น (และแถมด้วยเกาหลี) พก VISA Electron (บัตรเดบิตของแต่ละธนาคาร) ไปเถิดจะข่วยชีวิตท่านได้

ซูชิที่ทำให้วันนี้หายหดหู่

หลังจากที่เดินเล่นไปมาอย่างไร้แก่นสารแถวชินจูกุจนบ่าย 4 โมงกว่าๆ ฝนก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตก ก็เลยกลับไปเช็คอินที่โรงแรม อาบน้ำและรอฝนหยุด กะว่าถ้าฝนหยุดจะไปฮาราจูกุดูคนแต่งคอสเพลย์และหาอะไรกิน ฝนหยุดตกก็ออกจากโรงแรม ไปได้ไม่กี่ก้าวก็ตกหนักอีก ไปหลบฝนอยู่หน้าร้านซูชิ ไหนๆก็ไปไหนไม่ได้ ก็กินซูชิซะเลย (อิอิ) นับตั้งแต่วินาทีนั้นก็เริ่มคิดว่าจะมัวประหยัดไปใย หาอะไรที่ปกติเราไม่กินที่เมืองไทยเพื่อความรื่นรมย์ของชีวิตดีกว่า

ว่าแล้วก็สั่งซูชิมาเซ็ตหนึ่งแบบธรรมดาประมาณ 1600 เยน เบียร์อีก 400 เยน นั่งกินไปเรื่อยๆ
ชื่อร้าน Sushi Mamire
ซูชิเซ็ตที่สั่ง
และเบียร์ Suntory
ขึ้น Status ว่าดื่มเบียร์กับซูชิไปเท่านั้นแหละ มาเม้นท์กันว่าทำไมไม่กินกับสาเก อืมนั่นสินะ เพราะผมมีความรู้สึกว่าสาเกเหมือนเหล้าขาว ตลอด แหะๆ ส่วนข้างล่างนั้นเป็นแต่ละชิ้นในเซ็ตเอามาแยกให้ดู








กินเสร็จไม่หนำใจ เพราะไม่มีโอโทโร เลยสั่งมากินอีกสองชิ้น รวมค่าเสียหายทั้งค่าอาหาร ค่าบริการ และภาษีไป 2,851 เยน ชิลๆ
เด็ดสุดต้องชิ้นนี้ โอโทโร
หน้าตาเชฟ ระหว่างนั่งกินก็มีการเปลี่ยนกะด้วย
สำหรับผม มื้อนี้อร่อยเป็นรองแค่เนื้อโกเบเท่านั้น ร้านนี้อยู่ระหว่างโรงแรมที่ผมพักกับร้าน Mister Donut หัวมุมถนน ดูที่ Google Street View แล้วกันครับ เข้าใจว่าเปิด 24 ชั่วโมง

จบตอนที่ 3
ตอนที่เกี่ยวข้อง
เที่ยวญี่ปุ่น ตอนที่ 0 วางแผน
เที่ยวญี่ปุ่น ตอนที่ 1.1 จากสุวรรณภูมิถึงนาริตะ
เที่ยวญี่ปุ่น ตอนที่ 1.2 จากนาริตะถึงชินจูกุ
เที่ยวญี่ปุ่น ตอนที่ 2.1 Tokyo Metro Pass และ อาซะกุสะ
เที่ยวญี่ปุ่น ตอนที่ 2.2 ก่อนไปดูกันดั้ม เที่ยวอูเอโนะ (Ueno) และกินซ่า (Ginza)
เที่ยวญี่ปุ่น ตอนที่ 2.3 Gundam ที่โอไดบะ (Odaiba)
เที่ยวญี่ปุ่น ตอนที่ 4.1 จากชินจูกุถึงฟูจิซัง