26 มีนาคม 2556

กู้เงินเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานไม่ใช่คำตอบเสมอไป

ผมต้องออกตัวก่อนว่าไม่เห็นด้วยกับการที่รัฐบาลวางแผนกู้เงิน 2 ล้านล้านบาทเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ของประเทศ แน่นอนว่าผมย่อมอยากเห็นโครงสร้างพื้นฐานของประเทศได้พัฒนา แต่ไม่เชื่อว่าการที่รัฐกู้เงินมาเพื่อทำเองจะเป็นทางออกที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีนี้

ผมสนับสนุนระบบขนส่งสาธารณะแบบราง และชูสองมือเห็นด้วย การปรับปรุงเรื่องระบบรางรถไฟให้เป็นรางคู่เป็นความฝันของผม แม้ว่าจะไม่ชอบขนาดรางกว้าง 1.0 เมตรของการรถไฟ และชอบมาตรฐาน 1.435 เมตรมากกว่า รถไฟความเร็วสูงจะเกิดได้จริงต้องไม่ใช่ราง 1.0 เมตร อย่างไรก็ตามผมไม่เชื่อว่าการมีเส้นทางรถไฟความเร็วสูงสามเส้นทางจะลดการเดินทางด้วยรถยนต์ไปได้มากถ้าระบบรางที่รองรับต่อจากเส้นทางความเร็วสูงไปส่วนอื่นๆเหมือนกิ่งก้านของต้นไม้ไม่ได้มีการรองรับอย่างเพียงพอ

สำหรับผมแล้วการลดต้นทุนของการขนส่ง (Logistics) ด้วยระบบรางที่ไม่ต้องความเร็วสูงแต่ทั่วถึงน่าจะจำเป็นมากกว่า และถ้าเป็นระบบไฟฟ้าได้ก็ยิ่งดี หรือใช้ระบบลูกผสมก็ได้ เพราะน้ำมันคือต้นทุนที่ภาคขนส่งแบกไว้ ไม่ว่าบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่จะได้กำไรมากหรือน้อยก็ตาม สิ่งนี้สำคัญมากกว่ารถไฟความเร็วสูงสำหรับขนส่งมวลชนเสียอีก

แต่ก่อนที่จะพูดถึงเรื่องการกู้เงิน เราต้องกล่าวถึงว่ารัฐบาลทั่วโลกเขาใช้จ่ายในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานประเภทไหนกันแน่ โครงสร้างพื้นฐานที่รัฐลงทุนเองส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่เรียกว่าสินค้าสาธารณะ (Public Goods) คือประชาชนใช้ฟรีโดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ได้แก่ถนนที่ไม่เก็บค่าผ่านทาง ปรับปรุงคูคลอง กับอีกกลุ่มคือเก็บเงินแต่ไม่คุ้มที่เอกชนจะสนใจลงทุน ผมจะไม่พูดถึงกรณีเก็บเงินเพื่อเป็นมาตรการในการลดหรือควบคุมการใช้งานในที่นี้

คำถามคือขนส่งระบบรางเข้ากลุ่มไหน ขนส่งระบบรางต้องเสียเงินในงานใช้ และเอกชนน่าจะสนใจลงทุนถ้าให้สัมปทานยาวเพียงพอ ซึ่งในความเห็นผมแล้วไม่ควรกู้เงินมาสร้างแต่ให้สัมปทานแก่เอกชนผ่านการประมูล โดยดูที่ผลตอบแทนและเทคโนโลยีที่เหมาะสมมากกว่า ไม่มีความจำเป็นที่รัฐบาลจะกู้เงินมาลงทุนเลยแม้แต่น้อย

ถ้ารัฐบาลกู้เงินมาลงทุนแล้วให้หน่วยงานรัฐ เช่นรัฐวิสาหกิจมาดูแล คงไม่พ้นการรถไฟ ซึ่งผมฟันธงตรงนี้ได้ว่า การบริการระดับการรถไฟ Airport Rail Link คงเป็นตัวอย่างที่(ไม่)ดีให้เห็น

ขอพูดเรื่องระบบรางแต่อย่างเดียวก่อนนะครับ ส่วนอื่นยังไม่มีความเห็น แต่คงพอมองออกว่า ไม่ถึง 2 ล้านล้านบาทแน่นอน