29 พฤศจิกายน 2558

ว่าด้วยเรื่อง Unicode

จากเมื่อวานต้องเขียนโปรแกรมดึงข้อมูลจาก mdb (Microsoft Jet ที่เราชอบเรียก MS Access File) ที่เขียนไว้ใช้กับ VB6 ตั้งแต่สมัย Windows 98 แปลงมาเป็น SQLite3 เพื่อให้ใช้ได้ทุก Platform ด้วยโปรแกรมที่เขียนด้วย Python จากข้อมูลเดิม Text เป็น ASCII Windows 874 ต้องมาใช้ Unicode ที่ SQLite รองรับ

เพราะต้องการจะเขียนให้จบเร็วจึงตัดสินใจใช้วิธีแปลงข้อมูลใน Table ของ MS Access เป็น SQL command (INSERT INTO) ลง Text File เพื่อเรียกใช้โดย sqlite3.exe command line จากโครงการ SQLite อีกทีหนึ่ง

ปัญหาคือแม้บอกว่าเป็น Unicode แต่ Unicode ก็ไม่ได้มีแบบเดียว มี UTF-8 และ UTF-16 แล้ว UTF-16 ยังมีแบบ Little Endian และ Big Endian อีก อย่างไรก็ตามโปรแกรมที่ทำการแปลงข้อมูลต้องทำบน Windows เพื่อให้คนอื่นใช้ บน Windows x86 เก็บ Character บน Memory เป็น 16 bit Little Endian

ทดลองเขียนไฟล์เป็น UTF16LE ก็ปรากฏว่า sqlite3.exe อ่านได้ แต่เก็บข้อมูลภาษาไทยผิด ทั้งที่จากการตรวจสอบไฟล์ SQL statement เปิดด้วย Text Editor ก็อ่านถูก เลยตัดสินใจเปลี่ยนเป็น UTF-8 ซึ่งต้องเปลี่ยน Library ด้วย เขียนแล้วก็เปิดด้วย Text Editor แสดงเป็น UTF-8 ได้ แต่ sqlite3.exe อ่านไม่ผ่าน เหมือนว่าไม่รู้จัก 3 byte แรก อะไรหว่า

ก็พบว่า UTF-8 Text File ก็ยังมี 2 แบบอีกคือ แบบมี BOM (Byte Order Mark) กับไม่มี ซึ่ง sqlite3.exe ต้องไม่มี เลยต้องตัด 3 byte แรกออกและเขียนเป็น Binary ลง Text File (ห้ามงง) ถึงจะผ่านฉลุย

อยากรู้ว่าทำไมชีวิตกับ Unicode ถึงอยู่ยากจัง

11 กันยายน 2558

เรียนรู้การสร้างทีมจากเกมและนิยาย

สมัยที่เรียนม.ปลาย มีเพื่อนคนหนึ่งแนะนำให้รู้จักเกมเกมหนึ่งที่ชื่อว่า Ultima III ซึ่งเป็นเกมแบบ RPG ตั้งแต่สมัย Apple ][ จนมาถึง Ultima V บน PC เกมนี้เราจะเลือกว่าเราเป็นตัวละคนประเภทใดจาก Fighter, Paladin, Cleric, Wizard, Ranger, Thief, Barbarian, Lark, Illusionist, Druid และ Alchemist จากนั้นก็ไปรวบรวมทีมเพื่อไปทำภาระกิจซึ้งในแต่ละภาคจะไม่เหมือนกัน ภาค 3 จะต้องรวมทีม 4 คนจากตัวละครต่างๆ ในเรื่องซึ่งเป็นคนแต่ละประภทตามที่กล่าวไป เพื่อรับคำสั่งจาก Lord British ไปกำจัด Exodus แต่ละประเภทแต่ละคนก็จะมีความสามารถที่แตกต่างกันไปมากน้อยเช่นความแข็งแกร่ง ความสามารถในการรักษา ความสามารถในการเสกคาถา เป็นต้น

เพื่อนคนเดียวกันนี่แหละที่แนะนำนิยาย the Lord of the Rings ให้อ่าน ซึ่งก็เช่นกันมีการรวมทีมจากเผ่าพันธ์ต่างๆ เพื่อนำเอกธำรงค์ (The One Ring) ไปทำลายที่ Mordor แม้ว่านิยายจะซับซ้อนกว่าเกมตรงที่ไม่ได้ร่วมทีมไปตั้งแต่ต้นจนจบเหมือนกับเกม แต่ก็แสดงจุดร่วมอย่างหนึ่งให้เห็นก็คือการเลือกคนในทีม

ทั้งเกมและนิยายสอนผมเรื่องการเลือกตนมาร่วมทีมว่ามีความสำคัญอย่างไร เราต้องเลือกคนที่มีความแตกต่างกันเพื่อที่ทำพันธกิจ (Mission) หนึ่งๆ ให้สำเร็จ บางครั้งเราอาจจะเจอคนที่เก่งมากหลายคนแต่มีความสามารถคล้ายกัน ก็ต้องจำเป็นตัดใจไม่เลือก แต่รอโอกาสหวังว่าจะได้ร่วมทำงานในอนาคตเมื่อทีมขยาย และจำเป็นที่ต้องหาคนที่มีความสามารถลดหลั่นลงมาแต่ตอบโจทย์พันธกิจในเวลานั้นได้ครอบคลุมมากกว่า ตอนที่ทีมมีคนน้อยต้องอาศัยคนมีความสามารถหลากหลายมากกว่าที่จะเป็นคนเก่งเฉพาะด้าน เมื่อทีมใหญ่ขึ้นคนที่เก่งเฉพาะด้านก็จะเริ่มมีความสำคัญตามมา

เมื่อเราเป็นหัวหน้าทีมที่เริ่มต้นตัวคนเดียว สิ่งที่ต้องประเมินคือในพันธกิจที่ได้รับหรือวางแผนไว้ เราทำอะไรได้ เราขาดทักษะอะไรที่จะต้องเติมจากทีมงาน อะไรจำเป็นก่อนหลัง คนแบบไหนต้องได้ก่อน คนแบบไหนตามมาทีหลังได้ แต่ว่าชีวิตจริงก็ไม่ได้หาคนที่ต้องการได้ง่ายเสมอไป แต่อย่านำคนที่ไม่สามารถเติมสิ่งที่ขาดได้เข้ามาร่วมทีม จะเสียเวลาและกำลังเปล่าๆ ยอมรอดีกว่า แต่ในอีกมุมหนึ่งก็ต้องพยายามเสาะหา เปิดตัวเองให้คนที่มีความสามารถสนใจที่จะมาร่วมงานกับเราด้วย

ที่เหลือต่อจากนี้เป็นเรื่องวิธีการคัดคนมาเข้าทีมแล้ว ก็ต้องดูว่าจะทำงานด้วยกันได้ไหม อุปนิสัยใจคอจะเข้ากับทีมได้หรือไม่ ก็เป็นปัจจัยด้วยเหมือนกัน

ตอนนี้ก็ยังอยากได้คนที่มาช่วยทำ  Security Code Review อยู่นะ หายากจริงๆ

07 กันยายน 2558

เที่ยวญี่ปุ่น: Furano/Biei ฟาร์มโทมิตะ บ่อน้ำสีฟ้า ใน 1 วัน

Furano และ Biei บนเกาะฮกไกโดในฤดูร้อน ขึ้นชื่อเรื่องภูมิทัศน์ ความสวยงามของดอกไม้ และความอร่อยของ Yubari Melon จึงเป็นเป้าหมายของนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก แม้ว่าการเดินทางในช่วงฤดูร้อนในแถบนี้ การขับรถดูเหมือนจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดที่จะไม่ได้ถูกจำกัดเรื่องเวลา แต่อย่างไรก็ตามค่าเช่าที่แพงเอาการในช่วงฤดูร้อนและตัวผมที่เดินทางคนเดียว ตัวเลือกนี้ก็ถูกตัดไป
เมื่อพิจารณาการเดินทางแบบอื่นพบว่าถ้าพักที่ Sapporo ไปแล้วเดินทางไปตั้งต้นที่ Furano หรือ Asahikawa ก็มีตัวเลือกคือ

  • ใช้รถไฟของทางการรถไฟญี่ปุ่นบนเกาะฮกไกโด (JR Hokkaido) ไม่ว่าจะเป็นขบวนปกติไป Asahikawa หรือต่อรถไฟระหว่างทางไป Furano รวมถึงรถไฟขบวนรถด่วนพิเศษ Sapporo-Furano โดยตรง
  • ใช้รถประจำทางจาก Sapporo ไปยัง Furano ซึ่งเป็นรถบัสหวานเย็นจอดมันทุกป้ายใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงครึ่งของบริษัท Chuo-Bus 2,260 เยนต่อคน เที่ยวเดียว อยากรู้ว่าหวานเย็นแค่ไหนดูตารางเดินรถได้ที่นี่
หากตั้งต้นที่ Asahikawa หรือ Furano ก็จะสามารถเดินทางไปเที่ยวจุดต่างๆ โดยสถานีหลักๆ ได้แก่ Furano (เที่ยวโรงงานชีส ไวน์ ขนม) Nakafurano (Farm Tomita) Biei (Patchwork Road, Hokusei Hill Observatory, Aoiike บ่อน้ำสีฟ้า แม่น้ำสีฟ้า) ได้ดังนี้
  • ระหว่าง Furano-Biei-Asahikawa จะมีรถไฟธรรมดา รวมถึงรถไฟ Norokko ระหว่าง Asahikawa กับ Furano ที่หยุดที่สถานีพิเศษชื่อ Lavender Station ใกล้ Farm Tomita มากกว่า ส่วนรถไฟธรรมดาต้องลงที่สถานี Nakafurano แล้วนั่ง Taxi ไป
  • ใช้ Lavender Bus ที่วิ่งระหว่างสถานี Asahikawa สนามบิน Asahikawa และ จุดต่างๆ ใน Furano โดยถ้าจะไป Farm Tomita ก็ต้องลงที่ Nakafurano เช่นกัน
ทั้งสองทางเลือกข้างบนจะไม่ได้เดินทางไปจุดท่องเที่ยวโดยตรงเพราะเป็นเส้นทางเดินรถหลักไม่ใช่เส้นทางท่องเที่ยวเสียทีเดียว ถ้าต้องการเที่ยวสามารถใช้บริการต่างๆ นี้ได้
  • ใช้ Kukuru Bus 2-Day Pass 1,400 เยน วิ่งระหว่างจุดต่างๆ ใน Furano กับจุดท่องเที่ยวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Cheese Factory, Furano Winery, Furano Grape Juice Factory รวมทั้ง Farm Tomita เป็นต้น ซึ่งอยู่แต่แถบ Furano ไม่ได้ไป Biei
  • ใช้ Twinkle Bus ของ JR เป็นรถท่องเที่ยวโดยเฉพาะซึ่งมีหลายเส้นทางให้เลือกเช่น เริ่มต้นที่สถานี Biei แล้วกลับมายัง Biei หรือ Biei-Furano หรือจาก Asahikawa ไป Furano หรือ จาก Furano มายัง Asahikawa
  • จากสถานี Biei จะไปบ่อน้ำสีฟ้า มีรถเมล์วิ่งสาย 39 ที่ไปยัง Shirogane Onsen โดยลงที่ Shirogane Aoiike Iriguchi (白金青い池入口) แล้วเดินเข้าไป ดูตารางเดินรถที่นี่ สีแดงคือสถานี Shirogane Aoiike Iriguchi คู่กลางคือสถานี Biei
ไม่ว่าจะเลือกเดินทางอย่างไรก็ดูเหมือนว่าจะเที่ยวแบบเดินทางจาก Sapporo ไปเช้าเย็นกลับ รวมทั้งได้ไปจุดยอดนิยมต่างๆ เหล่านี้ดูจะเป็นไปได้ยาก อาจจะไม่คุ้มกับการเดินทาง ซึ่งส่วนใหญ่มักจะได้รับคำแนะนำว่าค้าง Furano หรือไม่ก็ Asahikawa เถอะ (ไม่ค่อยมีใครแนะนำให้ค้าง Biei อาจเป็นเพราะมีโรงแรมไม่มาก) แต่ครั้งนี้ผมไม่มีเวลาเที่ยวมากขนาดนั้น

จนกระทั่งผมพบบริการทัศนาจรของ Chuo Bus

Chuo Regular Sightseeing Bus

ผมพบเว็บไซต์ Chuo Bus นี้จากการค้น Google ด้วย keyword คือ sapporo furano biei farm tomita one day tour แล้วก็พบ Farm Tomita, Blue Pond and Biei Tour ราคาทัวร์รวมอาหารเที่ยงคือ 7,200 เยน ได้ไปชม Patchwork Road แบบไม่ได้ลงจากรถ แวะจุดชมวิว Hokusei no Oka ต่อด้วยบ่อน้ำสีฟ้า Aoiiike จากนั้นไปทานอาหารเที่ยงที่ร้านอาหารบนชั้นสองของพิพิธภัณฑ์ภาพวาด Sumio Museum และแวะชม สุดท้ายคือไป Farm Tomita แล้วก็กลับ Sapporo

จากเว็ปไซต์จะมี Web Form เป็นอีเมล์ไม่ใช่ออนไลน์ ให้เราจองทัวร์ในวันที่ต้องการ แล้วจะมีเมล์ตอบรับกลับมาในวันทำการถัดไป แต่จากข้อมูลในเว็บไซต์ เราสามารถจองที่สถานีรถประจำทาง Sapporo ตรง ชั้นสองตึก ESTA ที่ติดกับสถานี JR Sapporo ใกล้ Bic Camera ก่อน 18:00 ของวันก่อนวันเดินทางก็ได้ เนื่องจากกลัวเต็มก็เลยจองผ่านฟอร์มบนเว็บ จะมีการส่งอีเมล์ยืนยัน PDF File ข้อมูลของจุดรับตั๋วที่ Sapporo Bus Terminal Excel File ของ Tour Voucher ซึ่งตอนรับตั๋วใช้แค่เลขสำรองที่นั่งแล้วจ่ายเงินเท่านั้น

ทัวรไปที่อื่นๆ ก็น่าสนใจเช่นไปเที่ยวแหลม Shakotan ไปทะเลสาบ Shikotsu และ Toya แต่ว่าเนื่องจากเวลาจำกัดก็เลยไม่ได้เลือกไป
ตึก ESTA ที่ด้านล่างเป็น Sapporo Bus Terminal ออก West Gate ของ JR Hokkaido ก็จะเห็น แวะไปดูวันที่ไปถึง Sapporo
ชั้นสองทางเข้า ESTA จะเห็น Chuo-bus Sightseeing Bus Counter ซื้อหรือรับตั๋วที่นี่ ป้ายแดงๆ ถัดไปคือทางเข้า Bic Camera

เริ่มต้นเดินทาง

ผมไปรับตั๋วก่อน 8:00 ของวันเดินทาง ซึ่งจากอีเมล์บอกให้ไปรับตั๋ว 20 นาทีก่อนการเดินทาง เมื่อไปถึงก็บอกเลขสำรองที่นั่ง จากนั้นก็ชำระเงินซึ่งผมชำระด้วยบัตรเครดิตและรับตั๋วมา จากนั้นก็รอเรียก โดยที่ทัวร์ที่ผมจองออกเป็นขบวนที่สอง ก็จะมีไกด์ทัวร์ถือป้ายบอกว่าเป็นทัวร์อะไร ไปไหน โดยป้ายที่เรียกทัวร์ผมมีคำว่า Blue Pond ชัดเจนเพราะคณะก่อนหน้าไป Farm Tomita เหมือนกันแต่ไม่ไปบ่อน้ำสีฟ้า ไปชมดอกไม้ที่ฟาร์มอื่น ทัวร์ผมวันนี้คนไม่มาก ที่นั่งคู่ผมนั่งคนเดียวไม่มีใครมานั่งข้างๆ ลูกทัวร์เป็นจีน เกาหลี ญี่ปุ่น มีไทยหนึ่งหน่อคือผมเอง
ตั๋วเที่ยว Farm Tomita, Blue Pond and Biei
มื้อเช้าแบบรีบๆ แวะ 7-11 ซื้อก่อนมารับตั๋ว
บนรถทัศนาจรที่ Sapporo Bus Terminal
อาวุธวันนี้ Sony NEX-3 กับเลนส์ 55-210 mm f/4.5-6.3
ออกจาก Sapporo Bus Terminal วิ่งขนานไปกับทางรถไฟสักพักก็ถึงชายเมือง บรรยากาศชนบทก็สวยดีไกด์สาวก็บรรยายไปเรื่อยๆ เป็นภาษาญี่ปุ่น ก็ไม่รู้เรื่องหรอก รถมุ่งหน้าไปขึ้นทางด่วนเส้นที่ไปยัง Asahikawa โดยแวะพักที่ Sunagawa เป็นเหมือนจุดพักรถเพื่อให้ลูกทัวร์เข้าห้องน้ำ ไกด์ก็เขียนเวลานัดหมายว่ารถจะออกเมื่อไรบนป้ายให้ลูกทัวร์เห็นอย่างชัดเจน แถวนี้มีร้านค้าขายขนม อาหาร เครื่องดื่ม ของที่ระลึกครบเซ็ต ผมได้แต่ดูเพราะไม่อยากจะขนของมากมาย บริเวณใกล้กับร้านค้ามีสวนหย่อมที่ดูดีทีเดียว

Patchwork Road, Biei

เส้นทาง Patchwork Road มีภูมิทัศน์เป็นเนินเขาที่ต่อเนื่องกันไป สวยแบบที่ยังไม่เคยเห็นในภูมิภาคอื่นของญี่ปุ่น บางจุดทำให้นึกถึง Wallpaper ที่คุ้นชิน
ภาพนี้ถ่ายจาก Patchwork Road, Biei
ภาพนี้คือ Default Wallpaper ของ Windows XP ลองเทียบกับภาพที่ได้บริเวณ Patchwork Road ด้านบน

ต้นไม้ชื่อดัง

ต้นไม้ชื่อดังบริเวณ Patchwork Road มาจากโฆษณาทั้ง Print Ads และทางโทรทัศน์ (TVC: Television Commercial Ads) 3 จุด ได้แก่ Seven Star จากภาพโฆษณาบุหรี่ชื่อเดียวกัน, Ken & Mary จากโฆษณารถนิสสัน Love Skyline ปี 1972 และ Mild Seven จากภาพโฆษณาบุหรี่ชื่อเดียวกัน ส่วนแนวต้นโอ๊ค Parent and Child ก็เป็นที่รู้จักเนื่องจากการยืนต้นมานานลักษณะคล้ายพ่อแม่ลูก

ผมไม่แน่ใจว่าทัวร์นี้พาแวะชมทั้งสี่จุดหรือไม่ แต่ผมเห็นแค่สองจุดจากด้านที่ผมนั่งคือ Ken and Mary และ Seven Star เนื่องจากรถหยุดแต่ละจุดไม่น่าจะเกิน 10 วินาที ไม่แน่ว่าหยุดเพราะเป็นทางแยกด้วยหรือเปล่า
Ken and Marry
Seven Star

จุดชมวิวเนินตะวันตกเฉียงเหนือ (北西之丘展望公园, Hokusei no Oka)

ที่นี่จุดที่เป็นที่นิยมในการชมวิวบริเวณ Patchwork Road อีกบริเวณหนึ่ง มีสถาปัตยกรรมคล้ายปิระมิด วิวจากจุดนี้ก็จัดว่าสวยงามทีเดียว ตรงจุดนี้เริ่มจะมีผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับลาเวนเดอร์ขาย ผมก็เลยลองชิม Lavender Soft Cream รสชาติแปลกดี แต่โดยส่วนตัวก็รู้สึกเฉยๆ

บ่อน้ำสีฟ้า (青い池, Aoiike)

นี่เป็นจุดที่ผมอยากมาที่สุดรองจาก Farm Tomita แต่มาโดยรถโดยสารประจำทางค่อนข้างยากและต้องเดินจากปากทางเข้ามาไกลพอสมควร การซื้อทัวร์จึงทำให้ไม่ต้องเดินไกล แต่ก็อีกมีเวลาให้จำกัดแค่ 40 นาที ทำให้ผมเดินไม่ถึงแม่น้ำสีฟ้าที่อยู่ถัดไป ถ้าผมจะมาทัวร์อีกครั้งจะเดินไปถึงแม่น้ำก่อน แล้วจึงเดินย้อนกลับมาแถวบ่อน้ำ ดูแผนผังตามรูปข้างล่าง

น้ำในบ่อสวยมากไม่แน่ใจว่าจะมีปลาอยู่ได้หรือเปล่าเพราะไม่เห็น ที่จริงบ่อนี้เกิดขึ้นพร้อมกับการสร้างเขื่อนเพื่อลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับ Biei หากภูเขาไฟ Tokachidake เกิดระเบิด  แต่สารเคมีที่ทำให้เกิดสีฟ้าน่าจะไม่ได้เกิดจากความตั้งใจ ดูจากสีไม่รู้ว่าเป็น Copper Sulfate หรือเปล่า บ้างก็ว่า Aluminium Hydroxide

มื้อเที่ยงที่พิพิธภัณฑ์ภาพเขียนของ Goto Sumio (後藤純男, Goto Sumio Museum of Art)

Goto Sumio เป็นจิตรกรสีน้ำชั้นนำของฮกไกโด ซึ่งพิพิธภัณฑ์นี้เดิมเป็นสตูดิโอของท่าน ตั้งอยู่ใน Kamifurano ในสตูดิโอประกอบด้วยภาพวาดเป็นจำนวนมาก แต่ถ่ายภาพออกมาไม่ได้ คงต้องไปดูเองที่ Web Site นะครับ

ที่พิพิธภัณฑ์นี้ชั้นสองเป็นร้านอาหารชื่อ Furano Grill ซึ่งดูเหมือนจะมีชื่อเสียงพอสมควร อาหารที่ทัวร์จัดให้ทานมื้อเที่ยงที่นี่เป็นหมูสามชั้นตุ๋นซึ่งอร่อยดี และมียูบาริเมล่อนไว้ล้างปากด้วย

ทางรถทัวร์หยุดแวะพักที่นี่นานมากจนผมคิดว่าน่าจะเพิ่มเวลาที่อยู่ที่ Aoiike มากกว่า หลังจากทานมื้อเที่ยงและชมภาพเขียนเสร็จก็เลยถ่านรูปกับรถของ Chuo Bus และพนักงานขับรถกับไกด์(ไม่)สาว

ฟาร์มโทมิตะ (ファーム富田, Farm Tomita)

Farm Tomita เป็นเป้าหมายในการมา Furano ในครั้งนี้ และเป็นจุดสุดท้ายของทัวร์วันนี้ก่อนกลับ ที่จริงก่อนหน้านี้มีคณะที่รู้จักมาก่อนล่วงหน้า คือเพื่อนที่โบสถ์มาก่อนหนึ่งสัปดาห์ และพี่วศินกับแพต โปรวิชั่น มาก่อนสามสี่วัน ก็ได้ข่าวว่าดอกไม้เริ่มโรยแล้ว ลาเวนเดอร์ยังพอมีกลิ่น แต่ทุ่งลาเวนเดอร์อย่างที่เห็นตามโปสเตอร์กันก็โรยหมดแล้ว ก็เลยไม่ค่อยหวังอะไรมาก แต่จากที่ได้มาชมแล้วก็ยังพอมีมุมสวยๆ ให้ถ่ายรูปล่ะ


สิ่งที่ผมชอบมากที่สุดกลับเป็น Yubari Melon ซึ่งผมกินไปหลายชิ้นเหมือนกัน อีกอย่างก็คือ Melon Soft Cream ซึ่งอร่อยกว่า Lavender Soft Cream อีกนะ ทำเอาผมกลายเป็นแฟนของ Hokkaido Yubari Melon ไปเลย ซื้อของฝากเป็นผลิตภัณฑ์ Melon กลับกรุงเทพเต็มไปหมด สีของ Yubari Melon จะเป็นสีเหลืองคล้ายแคนตาลูปไม่เหมือนเมล่อนทั่วไปที่สีเขียว

หลังจากอยู่ที่ Farm Tomita ประมาณ 60 นาทีก็เดินทางกลับ Sapporo นับว่าเป็นทัวร์ที่คุ้มค่ากับเงิน 7,200 เยนมากเลยครับ

26 สิงหาคม 2558

เที่ยวญี่ปุ่น: ลายแทงโอซากา


เนื่องจากน้องๆ ที่รักหลายคนจะไปเที่ยวโอซากา และขอให้เขียนลายแทงสำหรับเที่ยวโอซากาให้หน่อยจึงขอบันทึกลายแทงการเที่ยวโอซากาฉบับส่วนตัว อาจจะไม่ค่อยเหมือนใคร เพราะรสนิยมไม่ค่อยเหมือนคนไทยส่วนใหญ่ที่ไปเที่ยวเท่าไร จึงขอรวบรวมไว้ดังนี้

จุดยอดนิยม Dotonburi

Dotonburi ย่านมินามิ (Minami) เป็นจุดหมายยอดนิยมในโอซากา อยู่ริมคลอง Dotonburi ในเขตนัมบะ (Numba District) เป็นเขตเที่ยวทั้งกลางวันและกลางคืน โดยมี Landmark ก็คือป้ายกูลิโกะ และร้านปู Kanidoraku นอกจากร้านต่างๆ ทั้งร้านอาหารและสถานบันเทิงจะเรียงรายไปตามริมคลองแล้วนั้น ยังสามารถเดินชอปปิ้งไปด้านทิศเหนือด้วยถนนคนเดิน Shinsai Bashi ไปจนถึงสถานี Shinsaibashi หรือจะไปทางทิศใต้ชอปปิ้งถนน Ebisu Bashi ไปจนถึงสถานีนัมบะก็ได้

คลอง Dotonburi
ร้านปู Kanidoraku ส่วนร้านกาแฟยอดนิยมอยู่ตรงข้าม
ป้ายกูลิโกะใหม่
ถนนคนเดิน Ebisu Bashi-Suji

กิจกรรมที่น่าทำ

ถ้าใช้ Osaka Amazing Pass การล่องเรือในคลอง Dotonburi ก็เป็นกิจกรรมที่คุ้มค่าตั๋ว แต่ถึงไม่ใช้ Pass การนั่งเรือก็ยังน่าสนุกอยู่ดี (900 เยน)


นอกจากนั้นการเก็บภาพถ่ายตัวเอง (Selfie) กับป้ายไฟกูลิโกะ ก็เป็นเรื่องน่าสนุก แต่ต้องอาศัยฝีมือการจัดแสงมากพอควรเพื่อให้ได้ภาพสวย อีกทั้งป้ายเปลี่ยนสีไปตลอดเวลา จึงต้องกะจังหวะดีๆ ด้วย ถ่ายกลางคืนอย่าลืมใช้แฟลช

ถ้าจะช้อป

มีร้าน Daiso (100 เยน) ที่ใหญ่มากร้านหนึ่งแถว Ebisubashi ถ้าเดินจาก Dotonburi จะอยู่ซ้ายมือ  ให้สังเกตุร้าน ABC Mart ด้านขวามือ Daiso จะอยู่ในซอยด้านตรงข้าม แต่ถ้าเดินเลยมาอีกซอยก็ได้เพราะร้านใหญ่ขนาดมีหน้าร้านทั้งสองซอย ซึ่งจุกที่ปักหมุดไว้จะเลย ABC Mart มาอีกซอย


อาหารการกิน

บอกตรงๆ ว่าไม่เคยกินอาหารแถวนี้ แต่จากเพื่อนๆ ที่มาทาน อาหารสี่อย่างที่ขึ้นชื่อคือ ราเมง (โดยเฉพาะอย่างยิ่งราเมงข้อสอบ Ichiran) สเต๊กวากิว ปู และซูชิ

การเดินทาง

สถานีที่ใกล้ที่สุดคือรถใต้ดินสถานีนัมบะ รองลงมาคือ JR Namba หรือจะลงสถานีรถใต้ดิน Shinsaibashi แล้วเดินลงมาทางทิศใต้ผ่านถนนคนเดิน Shisaibashi ก็ได้

เที่ยวทางน้ำที่ Tempozan

Tempozan เป็นส่วนหนึ่งของที่ท่องเที่ยวแถบอ่าวโอซากาใกล้กับ Universal Studio Japan (USJ) ประกอบด้วยชิงช้าสวรรค์ที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น (Tempozan Ferris Wheel) ตลาด (Marketplace) โอซากาอควอเรียม (Kaiyukan) และศูนย์วัฒนธรรมโอซากา (Osaka Culturarium) เรียงกันเป็นลำดับถ้าเดินมาจากสถานีรถไฟฟ้าหรือป้ายรถเมล์ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะรู้จัก Kaiyukan เป็นอย่างดี (แต่ว่าผมไม่เคยเข้า)

Tempozan Giant Ferris Wheel เคลมว่าเป็นหนึ่งในชิงช้าสวรรค์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก!!!
ภายใน Tempozan Marketplace
Food Park ใน Tempozan Marketplace

Kaiyukan (Osaka Aquarium) ไม่ได้เข้าหรอก แต่ถ่ายมาเฉยๆ

กิจกรรมที่น่าทำ

นอกจากจะเข้า Osaka Aquarium แล้วถ้าใช้ Osaka Amazing Pass นั่งเรือ Santa Maria ชมอ่าวโอซากาก็จะคุ้มค่ามาก (1,600 เยน) ใช้เวลาประมาณ 45 นาที แล้วก็นั่ง Tempozan Giant Ferris Wheel ชมอ่าวโอซากาจากมุมสูงก็ Slow Life ดี (800 เยน) ถ้าใจกล้าแนะนำให้นั่งแบบที่นั่งพื้นใส
บนเรือ Santa Maria ชมอ่าวโอซาก้า
ท่าเรือที่ขึ้น Santa Maria อยู่หลัง Kaiyukan
ชิงช้าสวรรค์ถ้าจะมีสองแบบให้เลือก แบบนึงพื้นใสมองเห็นข้างล่างได้ กับอีกแบบพื้นทึบปกติ บอกพนักงานตรงทางเข้า
กิจกรรมอย่างหนึ่งที่น่าสนใจแต่ไม่ค่อยมีคนไทยทราบก็คือการเข้าชมนิทรรศการที่ศูนย์วัฒนธรรมโอซากา (Osaka Culturarium) ซึ่งจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตอนที่ผมไปช่วงเดือนสิงหาคมปี 2014 เป็นนิทรรศการ The Art of Gandum ซึ่งแสดงการออกแบบตัวละครหลักใน Gumdam ภาคแรก หุ่น Gundam RX-72, Zakku แนวคิดพลอตเรื่อง ฟิล์มการ์ตูนต้นฉบับ ภาพวาดของ Yas ที่เป็นต้นฉบับ เป็นต้น ส่วนในปี 2015 เดือนกรกฎาคมถึงกันยายนก็จะจัดแสดงเรื่อง นินจานารุโตะ ส่วนถ้าจะไปช่วงไหนแล้วอยากรู้ว่านิทรรศการที่น่าสนใจหรือไม่ ตรวจสอบได้ที่ http://www.osaka-c-t.jp/ (ภาษาญี่ปุ่น) หรือใช้วิธีค้นใน Google โดยใช้คำว่า Osaka Culturarium Tempozan แล้วตั้ง Search tools เป็น Past month ก็ได้
บัตรเข้าชม The Art of Gundam ที่ Osaka Culturarium Tempozan เมื่อเดือนสิงหาคม 2014

ถ้าจะช้อป

ก็ใน Tempozan Marketplace มีของหลายชนิดหลายประเภทเลือกกันตามสะดวก

อาหารการกิน

ใน Tempozan Marketplace มี Food Court อาหารที่ขึ้นชื่อคือทาโกยากิและโอโนมิยากิ

การเดินทาง

ลงรถใต้ดินสถานี Osakako แต่สถานีนี้อยู่เหนือพื้นนะครับ หลังจากออกจาก Gate ด้านทิศตะวันตกจะเห็นป้ายทางออกไป Tempozan/Kaiyukan อยู่ทางขวามือ (Exit 1, 2) ซึ่งจากสถานีไปถึง Tempozan จะเดินไกลมาก ให้ออกทางออกซ้ายมือ (Exit 3) แล้วลงมาเดินย้อนกลับไปเล็กน้อยจะเห็นป้ายรถเมล์ นั่งสาย 51, 60, 72 หรือ 88 ไปสุดสายที่ Tempozan ตรง Ferris Wheel จะไม่ต้องเดินไกลมาก ซึ่งถ้ามี Osaka Amazing Pass หรือ Subway/Bus 1-day Pass ก็ขึ้นฟรี นี่เป็นทิปซึ่งมีแต่ Blog นี้ที่บอกนะ อิอิ

ขากลับก็มานั่งรถเมล์ที่จุดเดียวกับที่ลงเพราะเป็นป้ายต้นสายและสุดสาย รถจะกลับรถแล้ววิ่งกลับมา ยังสถานี Osakako

ป้ายรถเมล์ตรงสถานีรถใต้ดิน Osakako ต้องดูว่า for Tempozan ไม่งั้นคือผิดป้าย อาจลงผิดฝั่ง

ซอยละลายทรัพย์

ผมกำลังพูดถึงซอย Tenjinbashisuji ซึ่งทอดยาวตั้งแต่เหนือลงไปทางใตั ระหว่างสถานีรถใต้ดิน Tenjinbashisuji 6-Chome (Rokkuchome) กับสถานีรถใต้ดิน Minamimorinachi ยาวประมาณ 2 กิโลเมตร มีของสารพัดอย่างขายทั้งของกิน ของใช้ ร้านอาหาร ซึ่งโดยมากราคาถูก ผมเคยซื้อยูกาตะคุณภาพพอใช้ได้ในราคาชุดละ 690 เยน ของฝากหลายอย่างก็มาซื้อเอาที่นี่เหมือนกัน ซื้อมากกระเป๋าไม่พอก็ซื้อกระเป๋าขนของกลับที่นี่ได้ ราคาไม่แพง

กิจกรรมที่น่าทำ

มาถึงนี่กิจกรรมที่น่าทำก็คือกินและช้อปเท่านั้น ตามแต่มีเงินเท่าไร ส่วนใหญ่รับเงินสด

อาหารการกิน

มีหลายร้านให้เลือก แต่ที่ผมว่าดีสุดในแถบนี้ต้องร้านซูชิ Harukoma มีสองร้านร้านหนึ่งติดซอยหลัก แต่อีกร้านอยู่ในซอยย่อย (ป้ายมีรูปม้า) ไม่รู้ว่าร้านไหนเป็นร้านแรก ทั้งสองร้านห่างกันไม่มาก อยู่ระหว่างสถานีรถใต้ดิน Tenjinbashisuji 6-Chome กับสถานี JR Tenma ตามแผนที่ด้านล่าง

ต้องบอกว่าปลาที่นี่สดมาก อร่อยและราคาไม่แพง เช่น Chutoro สองชิ้นราคาแค่ 320 เยน ผมมาโอซากาต้องหาเวลามากินที่นี่เสมอ เปิด 11:00 ก่อนเปิดก็จะมีคนมายืนรอคิวนานเลย มาแต่ละครั้งต้องรอเพราะแต่ละร้านที่นั่งไม่เยอะ บางครั้งก็นั่งมาลง Tenjibashisuji 6-Chome เพื่อกินซูชิที่นี่อย่างเดียวแล้วก็ไปเที่ยวที่อื่นต่อ ทั้งสองร้านขอเมนูภาษาอังกฤษได้นะครับ
ร้านที่อยู่ติดซอยหลัก
ร้านนี้อยู่ในซอยย่อย

การเดินทาง

สามารถเลือกลงสถานีรถใต้ดิน Tenjinbashisuji 6-Chome, Ogimachi หรือ Minamimorimachi ก็ได้ หรือถ้าเป็นรถไฟ JR ก็ลงสถานี JR Tenma หรือ Osakatenmaku ก็ได้ โดยส่วนตัวชอบลงที่ Tenjinbashisuji 6-Chome แล้วเดินลงมาเรื่อยๆ แวะกินซูชิที่ Harukoma แล้วเหนื่อยแถวสถานีไหนก็กลับจากสถานีนั้น

เนื่องจาก Tenjinbashisuji 6-Chome ซึ่งเป็นสถานีของรถไฟ Hankyu สาย Senri เช่นกัน จึงสามารถมาจาก Kyoto หรือ Kobe ได้โดยไม่ยากโดยมาเปลี่ยนรถที่สถานี Awaji

แช่ออนเซน

Spa Suminoe (天然露天温泉 スパスミノエ)

แถบโอซากามีบ่อน้ำร้อนอยู่หลายที่ แต่ที่ผมว่าเด็ดที่สุดในตัวเมืองโอซากาคือ Spa Suminoe (天然露天温泉 スパスミノエ) เป็นบ่อน้ำร้อนที่มีหลายประเภทที่สุด มีจากุซซีหลายแบบให้แช่ น้ำแร่หลายแบบอีกเหมือนกัน มีทั้งในร่มและกลางแจ้ง นอกจากนั้นยังมีซาวน่าให้เลือกหลายห้องที่อุณหภูมิต่างๆ กัน ห้องไอน้ำก็มี สิ่งอำนวยความสะดวกเยอะ สามารถพักผ่อนได้ทั้งวัน เปิด 10:00-21:00 วันธรรมดาจะอยู่ที่ 650 เยน ส่วนวันเสาร์อาทิตย์จะราคา 750 เยน แต่ถ้าใช้ Osaka Amazing Pass ก็เข้าฟรี อย่างไรก็ตามไม่รวมผ้าเช็ดตัวและผ้าขนหนูซึ่งต้องนำไปเอง ถ้าไม่มีต้องซื้อผ้าขนหนูในราคา 100 เยน
ด้านหน้าจะมีสัญลักษณ์ประมาณนี้

อาหารการกิน

ที่ Spa Suminoe มีร้านอาหารบริเวณพักผ่อนนอกที่อาบน้ำไว้บริการ ราคาไม่แพง

การเดินทาง

ลงสถานีรถใต้ดิน Suminoekoen หรือ ถ้ามาจาก Tempozan ก็ขึ้นจาก Osakako มาต่อรถรางที่ Cosmo Square แล้วนั่งมาจนสุดสายที่ Suminoekoen ก็ได้ จากสถานีให้ออก Exit 2 มาทางสนามแข่งเรือ Sumino Kyotei Stadium แล้วเดินผ่านทางเข้าสนามแข่งเรือมาทางสนามไดรฟ์กอล์ฟ จะมีทางเข้าอยู่ก่อน Numco เดินเข้ามาผ่านซุ้มวงกลม ทางเข้าจะอยู่เยื้องไปทางซ้ายมือ

Naniwa no Yu (天然温泉 なにわの湯)

ทางตอนเหนือของโอซากามีออนเซ็นอีกที่ที่เป็นที่นิยมคือ Naniwa no Yu (天然温泉 なにわの湯) ในแถบ Kita ผมลองไปแล้วก็เฉยๆ แต่ข้อดีคือเปิดดึกถึงตีหนึ่ง วันธรรมดาเปิด 10:00 วันเสาร์อาทิตย์เปิด 8:00 ค่าบริการ 800 เยน แต่เข้าฟรีถ้าใช้ Osaka Amazing Pass ไม่มีผ้าขนหนูและผ้าเช็ดตัวให้เช่นกัน ต้องนำไปเองหรือซื้อผ้าขนหนูที่ทางเข้าได้ 

อาหารการกิน

เนื่องจากเป็นออนเซนที่อยู่บนตึก ทั้งตึกเป็น Entertainment Complex มีที่เที่ยวและร้านอาหารหลายร้านเลยทีเดียว

การเดินทาง

แม้ว่าจะใกล้สถานี Tenjinbashisuji 6-Chome มากกว่าแต่ต้องเดินประมาณ 8 นาที ถ้าไม่กลัวหลงขึ้นรถเมล์สาย 34 จากหัวลำโพง เอ้ยไม่ใช่ จากด้าน West Gate ของ JR Osaka หรือด้านตะวันตกของสถานี Umeda จะใกล้กว่า ดูตาม Google Map ด้านล่าง แชร์ให้มือถือได้เลย

แต่ถ้าจะมาใช้บริการหลังจากช้อปปิ้งที่ Tenjinbashisuji ก็ไม่เลวนะครับ เพราะไม่ไกลกัน แต่ต้องวางแผนเดินช้อปจากทางทิศใต้ขึ้นมาจากสถานีรถใต้ดิน Ogimachi หรือ JR Tenma เดินขึ้นไปยังสถานี Tenjinbashisuji 6-Chome (Rokkuchome) หลังจากนั้นขากลับค่อยนั่งสาย 34 หน้าตึกมาลง JR Osaka หรือ Umeda ก็ได้

ออนเซ็นอื่น

มีคนแนะนำ Spa World ซึ่งตั้งอยู่แถว Tennoji เป็นออนเซ็นที่ใหญ่มาก แต่ก็ยังไม่เคยเข้าสักที บันทึกไว้เพื่ออ้างอิงก็แล้วกัน เข้าไปชมได้ที่ http://www.spaworld.co.jp/english/service.html

พิพิธภัณฑ์

ขอเว้นไว้ไม่พูดถึงปราสาทโอซากาที่เป็นพิพิธภัณฑ์เหมือนกัน สามารถหาอ่านได้ทั่วไป แต่จะไปรีวิวพิพิธภัณฑ์นอกเมืองสองแห่งคือพิพิธภัณฑ์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของนิชชิน (Instant Ramen Museum) และพิพิธภัณฑ์มังงะของเทตซึกะ โอซามุ (Tezuka Osamu Manga Museum)

พิพิธภัณฑ์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของนิชชิน (Instant Ramen Museum)


ต้นตำรับของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอยู่ที่โอซากานี่เอง และนิชชินก็มาสร้างพิพิธภัณฑ์ที่ Ikeda ในโอซากา ในพิพิธภัณฑ์จะมีการแสดงการพัฒนาการของบะหมีกึ่งสำเร็จรูปจากยุคแรกจนถึงการออกแบบให้สามารถกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปได้ในสถานีอวกาศ รวมทั้งบะหมีนิชชินรสชาดต่างๆ ที่ได้มีวางจำหน่ายตั้งแต่อดีต ใครชอบบะหมีกึ่งสำเร็จรูปน่าจะถูกใจ

กิจกรรมที่น่าทำ

ทำ Cup Noodle ในแบบของตัวเองที่ My Cup Noodle Factory เป็นกิจกรรมที่เป็นที่นิยมทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ช่วงหน้าร้อนเดือนสิงหาคมที่เป็นช่วงปิดเทอม เด็กๆ มาทำกันอย่างสนุกสนาน ผู้ใหญ่อย่างผมก็สนุกเช่นกัน เริ่มจากการนำถ้วยมาตกแต่งเป็นลายของตัวเอง สามารถทำได้ครั้งละหลายถ้วยก็ได้ในราคาถ้วยละ 300 เยน จากนั้นก็เอามาบรรจุบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เลือกเครื่องปรุงมาใส่ในรสชาดของตัวเอง ปิดผนึกฝา และห่อพลาสติกออกมาเป็นเหมือนบะหมีถ้วยที่วางขายตามร้าน แต่ในรูปแบบของตัวเราเอง

หากมีเวลามากขึ้นสามารถเข้าร่วม Workshop บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสไก่ โดยเริ่มตั้งแต่ขั้นตอนการนวดแป้งเลยก็ได้

อาหารการกิน

เรากินบะหมี่ถ้วยที่เราออกแบบไว้ก็ได้ แต่อย่าเลยเก็บมาเป็นของที่ระลึกดีกว่า อย่างไรก็ตามที่พิพิธภัณฑ์ไม่ได้มีของกินมากนัก มี Vending Machine ที่กดบะหมีกึ่งสำเร็จรูปร้อนๆ และเครื่องดื่มเท่านั้น หากไม่ต้องการกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปให้เดินกลับมาทางสถานี Ikeda จะมีร้านราเมงครบเครื่องอยู่ร้านหนึ่ง

การเดินทาง

จากสถานี Hankyu Umeda นั่งรถไฟสาย Takarazuka มาลงสถานี Ikeda จากนั้นเดินออกด้านทางออกตะวันออก เดินมาตามถนนมาทางตะวันออกเฉียงใต้ สังเกตุ Ikeda Tourist Office ที่มีรูปตัว i (Information) หรือร้าน VOX ซึ่งอยู่ปากซอยอีกฝั่งทางด้านขวามือ ให้เดินเลี้ยวขวาเข้าซอยนั้น ซึ่งเดินรถทางเดียวสวนทางขึ้นมา เดินตรงไปเรื่อยๆ พิพิธภัณฑ์จะอยู่ทางขวามือ

พิพิธภัณฑ์มังงะของเทตซึกะ โอซามุ (Tezuka Osamu Manga Museum)

เทตซึกะ โอซามุ เป็นผู้ประพันธ์มังงะเรื่องดังๆ ยุคเก่า ที่มีชื่อเสียงในเมืองไทยได้แก่ เจ้าหนูปรมาณู (Atom หรือ Astro Boy), Black Jack, ชาราคุ เจ้าหนูสามตา, เจ้าหญิงอัศวิน (Princess Knight), เจ้าสมุทรไตรตัน, Magma, Big X, Jetter Mars, Kimba สิงห์ขาว เป็นต้น หากใครมีความหลังกับตัวละครในเรื่องเหล่านี้ขอแนะนำพิพิธภัณฑ์นี้เลยครับ

แม้ว่าที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ไม่ได้อยู่ในโอซากาแต่อยู่ในเมือง Takarazuka จังหวัดเฮียวโงะ (Hyogo) แต่เนื่องจากอยู่ไม่ไกลจากพิพิธภัณฑ์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจึงขอแนะนำไว้ด้วยก็แล้วกัน ในพิพิธภัณฑ์ก็คล้ายกับโดยทั่วไปที่จะมีส่วนแสดงถาวรและส่วนที่ผัดเปลี่ยนหมุนเวียนเป็นครั้งคราว โดยในแต่ละเดือนจะมีการแจกของที่ระลึกที่ไม่ซ้ำกันจากมังงะแต่ละเรื่อง

ส่วนค่าเข้าชม 700 เยน และพิพิธภัณฑ์ไม่ได้เปิดทุกวัน โดยจะปิดในวันพุธ หรือตามประกาศซึ่งดูได้จาก http://tezukaosamu.net/en/museum/

กิจกรรมที่น่าทำ

ชั้นใต้ดินมีกิจกรรมวาดการ์ตูนจากองค์ประกอบต่างๆ ที่จัดเตรียมไว้ให้ ซึ่งเป็นตัวละครจากมังงะเรื่องต่างๆ บนจอมอนิเตอร์ กิจกรรมนี้มีเป็นเป็นรอบ ผมไม่ได้วาดแต่ดูคนอื่นวาด ก็สนุกดีนะ

อาหารการกิน

ในพิพิธภัณฑ์มีร้านกาแฟ แต่ไม่มีอาหารมื้อใหญ่ๆ แนะนำให้กลับไปกินที่ห้างสรรพสินค้าที่ติดกับสถานี Hankyu จะดีกว่า

การเดินทาง

ถ้านั่งรถไฟสาย JR หรือสาย Hunkyu จาก Ikeda ให้ลงสถานี Takarazuka แล้วเดินผ่านห้างสรรพสินค้าที่ติดกับสถานี Hankyu มาออกทางทิศใต้ สังเกตุจะเห็นป้ายชี้ทางไปยังพิพิธภัณฑ์เป็นรูปเจ้าหนูอะตอม เดินข้ามถนนมาจะมีทางเดินเล็กๆ ร่มรื่น ให้เดินจนสุดทางแล้วข้ามถนนมาเดินบนทางเดินเท้าฝั่งขวามือจนถึงไฟแดงจะมองเห็นพิพิธภัณฑ์จากไฟแดงนั้น
ออกจากห้างสรรพสินค้าลงมา ก็จะเห็นป้ายชี้ทางไปพิพิธภัณฑ์
หากมารถไฟ Hankyu ถ้าไม่ได้มาทาง Ikeda มีอีกเส้นทางหนึ่งคือนั่งสาย Kobe มาต่อสาย Imazu ที่สถานี Nishinomiya-Kitaguchi แล้วลงสถานี Takarazuka-Minamiguchi (ก่อนถึง Takarazuka) แล้วเดินข้ามแม่น้ำมาจะมาถึงไฟแดงเดียวกัน ซึ่งจะเดินใกล้กว่า

ตอนที่เกี่ยวข้อง

เที่ยวญี่ปุ่น: เที่ยวคันไซโดยใช้ Pass